Home Blog

Soft Skills ที่คนทำงานยุคใหม่ต้องมี

0

Soft Skills ที่คนทำงานยุคใหม่ต้องมี

ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว ความเก่งทางเทคนิคอย่างเดียวไม่พออีกต่อไป เพราะองค์กรสมัยใหม่มองหา Soft Skills หรือทักษะด้านอารมณ์และการทำงานร่วมกับผู้อื่นมากขึ้น ทักษะเหล่านี้สะท้อนถึงความสามารถในการสื่อสาร การปรับตัว และการทำงานเป็นทีม ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินว่า ฃคุณจะได้งานหรือไม่ และจะเติบโตในสายอาชีพได้ไกลแค่ไหน โดย Soft Skills ที่คนทำงานยุคใหม่ต้องมีมีดังนี้

การสื่อสาร

ทักษะการสื่อสารคือความสามารถในการพูด ฟัง เขียน และอธิบายความคิดอย่างชัดเจน เข้าใจง่าย และเหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญของทุกอาชีพ เพราะช่วยลดความเข้าใจผิด เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกัน และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในทีม ยิ่งคุณสื่อสารได้ดีเท่าไร โอกาสในการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

การทำงานเป็นทีม

หมายถึงการทำงานร่วมกันอย่างมีระบบ รู้หน้าที่ของตนเอง เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่ต่าง และพร้อมช่วยเหลือกัน ทีมที่ทำงานร่วมมือกันได้ดีจะทำให้งานสำเร็จเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การปรับตัว

ทักษะนี้คือความพร้อมในการเรียนรู้สิ่งใหม่ และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ตื่นตระหนก เป็นความสามารถสำคัญที่ช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ความคิดวิเคราะห์

คือความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบ ใช้เหตุผลในการประเมินข้อมูล และหาทางแก้ไขอย่างรอบคอบ ทักษะนี้ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

ภาวะผู้นำ

ทักษะนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้นำหรือหัวหน้า แต่คือความกล้าในการริเริ่ม รับผิดชอบ และชี้แนวทางที่ชัดเจนให้ทีม เพื่อให้ทุกคนก้าวไปสู่เป้าหมายร่วมกัน

การบริหารเวลา

คือความสามารถในการจัดลำดับความสำคัญของงานอย่างเหมาะสม ส่งมอบงานได้ตรงเวลาโดยไม่เร่งรีบ การบริหารเวลาที่ดีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและลดความเครียดได้อย่างมาก

ความฉลาดทางอารมณ์

ความสามารถในการเข้าใจและจัดการอารมณ์ของตนเอง รวมถึงเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม การมี EQ ที่ดีช่วยให้ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีสติ และสร้างความสัมพันธ์ที่ราบรื่นในที่ทำงาน

แหล่งที่มา : www.sanook.com

6 ขนมกินเล่นระหว่างอ่านหนังสือ อร่อยเพลินดีต่อสุขภาพ

0

6 ขนมกินเล่นระหว่างอ่านหนังสือ อร่อยเพลินดีต่อสุขภาพ

ใครที่กำลังอยู่ในช่วงอ่านหนังสือสอบหรือต้องโฟกัสกับงานแบบเต็มสปีด มาทางนี้เลยวันนี้เรามี 6 ขนมกินเล่นระหว่างอ่านหนังสือ ที่ทั้งอร่อย กินเพลิน แถมยังมีประโยชน์ ช่วยบำรุงสมองและเพิ่มพลังให้สมองโลดแล่นได้ยาวนานขึ้น เหมาะสุด ๆ สำหรับคนที่ต้องใช้พลังความคิดเยอะ แต่ไม่อยากพึ่งของหวานหรือขนมแคลสูง มาดูกันดีกว่าว่ามีของกินเล่นดีต่อสุขภาพ ตัวไหนที่ควรมีติดโต๊ะไว้ระหว่างอ่านหนังสือหรือทำงานบ้าง

ดาร์กช็อกโกแลต

สำหรับสายหวานที่อยากเติมพลังระหว่างอ่านหนังสือ ขอแนะนำดาร์กช็อกโกแลตที่มีความเข้มข้น 70% ขึ้นไป เพราะนอกจากจะอร่อยแล้วยังดีต่อสมองอีกด้วย ดาร์กช็อกโกแลตมีคาเฟอีนและฟลาโวนอยด์ที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปยังสมอง ทำให้โฟกัสดีขึ้น สมาธิแน่น และจดจำข้อมูลได้มีประสิทธิภาพขึ้น แต่มีข้อควรระวังคืออย่ากินเยอะเกินไป เพราะในช็อกโกแลตยังมีน้ำตาลอยู่ หากกินมากเกินอาจทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งและเกิดอาการง่วงซึมได้ กินพอดี ๆ แค่ 2–3 ชิ้นเล็ก ๆ ก็ช่วยให้สมองปลอดโปร่งและอารมณ์ดีได้แล้ว

อัลมอนด์ & ถั่วชนิดต่าง ๆ

ของกินเล่นอย่างอัลมอนด์และถั่วชนิดต่าง ๆ ถือเป็นพลังงานชั้นดีสำหรับคนที่ต้องใช้สมองเยอะ ไม่ว่าจะเป็นอัลมอนด์ วอลนัท แมคคาเดเมีย ถั่วลิสง หรือถั่วแดง ล้วนอุดมด้วยโปรตีน ไขมันดี และใยอาหาร ที่ช่วยเพิ่มพลังระหว่างอ่านหนังสือหรือทำงานได้ยาวนานโดยไม่รู้สึกอ่อนเพลีย ที่สำคัญยังมีโอเมก้า-3 และธาตุเหล็ก ซึ่งช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท ทำให้โฟกัสดีขึ้น ความจำแม่นขึ้น เหมาะสุด ๆ สำหรับช่วงสอบหรือทำโปรเจกต์ใหญ่ แต่ควรกินในปริมาณพอดีประมาณวันละหนึ่งกำมือ เพื่อหลีกเลี่ยงพลังงานส่วนเกิน

แอปเปิล

แอปเปิลเป็นตัวช่วยเติมความสดชื่นที่เหมาะสุด ๆ สำหรับช่วงอ่านหนังสือ เพราะมีรสหวานอมเปรี้ยวช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า แถมยังอุดมไปด้วย สารอะเซทิลโคลีน (Acetylcholine) ที่ช่วยเสริมการทำงานของสมองและระบบประสาท ทำให้มีสมาธิและจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมี ไฟเบอร์สูงและน้ำตาลธรรมชาติ ที่ช่วยเพิ่มพลังได้โดยไม่ทำให้รู้สึกหนักท้อง จะกินสด ๆ เป็นแอปเปิลหั่นชิ้น หรือทานคู่กับเนยถั่วสักเล็กน้อยก็อร่อยและอิ่มกำลังดี

โยเกิร์ต

โยเกิร์ต คือของกินเล่นสุดเพอร์เฟกต์สำหรับช่วงอ่านหนังสือหรือทำงานหนัก เพราะนอกจากจะอร่อยและย่อยง่ายแล้ว ยังอุดมไปด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตดี ที่ช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้สึกเพลียง่าย แถมยังมีโพรไบโอติก (Probiotics) ที่ช่วยเสริมสมดุลลำไส้ กระตุ้นระบบประสาทและสมองให้ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้โฟกัสและมีสมาธินานขึ้น ที่สำคัญโยเกิร์ตยังช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกายโดยไม่หนักท้อง จะกินเดี่ยว ๆ หรือใส่ผลไม้สดอย่างบลูเบอร์รี กล้วย หรือกราโนล่าก็อร่อยและสุขภาพดีสุด ๆ

ขนมปังโฮลวีต & พีนัทบัตเตอร์

เมนูขนมปังโฮลวีตกับพีนัทบัตเตอร์ คือของกินเล่นที่ให้ทั้งพลังงานและประโยชน์ครบในคำเดียว ขนมปังโฮลวีตเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ย่อยช้า ช่วยให้ร่างกายมีพลังงานต่อเนื่อง ลดอาการง่วงซึมระหว่างอ่านหนังสือ ส่วนพีนัทบัตเตอร์ก็อุดมด้วยโปรตีน ไขมันดี และวิตามินบี ที่ช่วยบำรุงสมอง ระบบประสาท และเพิ่มสมาธิได้อย่างดีเยี่ยม กินคู่กันแล้วทั้งอิ่มอยู่ท้อง ไม่หนักเกินไป แถมยังช่วยให้ร่างกายและสมองตื่นตัว พร้อมลุยงานหรืออ่านหนังสือต่อได้แบบยาว ๆ

นม

ปิดท้ายด้วย นมจืด เครื่องดื่มคู่ใจของสายอ่านหนังสือและทำงานหนัก เพราะอุดมไปด้วยโปรตีนและกรดอะมิโน ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและระบบประสาทให้ตื่นตัว นอกจากนี้ยังมีโอเมก้า 3, วิตามินบี และแคลเซียม ที่ช่วยบำรุงความจำ เสริมสมาธิ และถนอมสายตาจากการใช้คอมพิวเตอร์หรืออ่านหนังสือนาน ๆ ดื่มแล้วช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับสบาย เหมาะสุด ๆ สำหรับช่วงติวหนักหรือทำงานดึก

แหล่งที่มา : www.zipeventapp.com

7 เมนูพลังงานเบา ๆ ก่อนออกวิ่ง

0

7 เมนูพลังงานเบา ๆ ก่อนออกวิ่ง

หนึ่งในปัญหาที่นักวิ่งหลายคนมักเจอคือหมดแรงกลางทาง หรือท้องไส้ปั่นป่วนระหว่างวิ่ง ซึ่งมักเกิดจากการกินอาหารไม่เหมาะก่อนออกกำลังกาย การเลือกอาหารที่ถูกต้องจะช่วยให้มีพลังเพียงพอตลอดการวิ่ง แถมยังช่วยลดโอกาสเกิดอาการแน่นท้องหรือจุกเสียดได้อีกด้วย วันนี้เรารวบรวม 7 เมนูกินก่อนวิ่งที่ทั้งย่อยง่าย ไขมันต่ำ และช่วยให้คุณพร้อมลุยทุกเส้นทาง

กล้วย

กล้วยคือ “ของดีประจำวงการนักวิ่ง” ตัวจริง เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ทันที เหมาะมากสำหรับกินก่อนออกวิ่งประมาณ 30–60 นาที กล้วยยังอุดมไปด้วย โพแทสเซียม ที่ช่วยป้องกันอาการตะคริวได้เป็นอย่างดี

ข้าวโอ๊ต

ข้าวโอ๊ต เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex Carbohydrate) ที่ให้พลังงานอย่างต่อเนื่อง จึงช่วยให้ร่างกายรู้สึกมีแรงได้นานขึ้นโดยไม่หมดพลังกลางทาง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการวิ่งระยะไกลหรือวิ่งตอนเช้า โดยควรกินก่อน 2-3 ชั่วโมงก่อนวิ่ง

ขนมปังโฮลวีท

ขนมปังโฮลวีทเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานเร็วแต่ย่อยง่าย เหมาะสำหรับกินก่อนวิ่งเพราะไม่ทำให้รู้สึกหนักท้อง สามารถกินคู่กับท็อปปิ้งเบา ๆ อย่างเนยถั่ว กล้วยฝานบาง ๆ หรือไข่ต้ม เพื่อเพิ่มโปรตีนและไขมันดี ซึ่งควรกิน 1-2 ชั่วโมงก่อนวิ่ง

ข้าวสวย

ข้าวสวยถือเป็นพลังงานหลักที่เหมาะกับนักวิ่งชาวไทยที่สุด เพราะเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถย่อยและเปลี่ยนเป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังย่อยง่าย ไม่ทำให้แน่นท้อง เหมาะจะกินก่อนวิ่งประมาณ 2-3 ชั่วโมง หากอยากเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ

มันเทศ

มันเทศเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน อุดมด้วยวิตามินเอและโพแทสเซียม ช่วยรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย ช่วยป้องกันอาการตะคริวขณะออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำให้กินมันเทศต้ม หรืออบในปริมาณพอเหมาะก่อนวิ่งประมาณ 2-3 ชั่วโมง

กรีกโยเกิร์ต

กรีกโยเกิร์ตถือเป็นของว่างก่อนวิ่งที่ครบเครื่อง เพราะมีโปรตีนสูงกว่าโยเกิร์ตทั่วไป ช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง อีกทั้งยังมีโพรไบโอติกส์ ที่ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี แนะนำให้กินกรีกโยเกิร์ตรสธรรมชาติคู่กับผลไม้หรือธัญพืชเล็กน้อยก่อนวิ่งประมาณ 1-2 ชั่วโมง

ขนมปังกรอบ

ขนมปังกรอบแบบไม่มีรสชาติถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคนที่รู้สึกตื่นเต้นก่อนวิ่งจนกินอาหารไม่ได้ หรือไม่มีเวลาเตรียมมื้อก่อนออกกำลังกาย เพราะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ให้พลังงานรวดเร็ว และไม่ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักจนเกิดอาการจุกเสียดหรือท้องปั่นป่วน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการกินรองท้องก่อนออกวิ่งประมาณ 30–60 นาที

แหล่งที่มา : women.trueid.net

10 สิ่งที่ห้ามพลาดหลังออกกำลังกาย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม

0

10 สิ่งที่ห้ามพลาดหลังออกกำลังกาย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม

การออกกำลังกายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลไหนทั้งอยากสุขภาพแข็งแรง หุ่นเฟิร์ม ลดน้ำหนัก หรือเพิ่มความมั่นใจ ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งนั้น ปัจจุบันก็มีวิธีให้เลือกมากมาย ทั้งเวทเทรนนิ่ง คาร์ดิโอ พิลาทิส หรือกีฬาต่าง ๆ แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้ตัวการออกกำลังกายก็คือ “การดูแลหลังออกกำลังกาย” เพราะถ้าทำไม่ถูกวิธี แทนที่จะได้ผลดี อาจกลายเป็นผลเสียต่อร่างกายได้ง่าย ๆ วันนี้เลยขอพาทุกคนไปเช็ก 10 สิ่งที่ควรทำหลังออกกำลังกาย เพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกาย เสริมสุขภาพ และทำให้การออกกำลังกายของคุณได้ผลเต็มที่จริง ๆ

Cool Down หลังออกกำลังกาย

หลังออกกำลังกายไม่ควรหยุดทันที แต่ควรค่อย ๆ Cool down ด้วยการลดระดับการเคลื่อนไหวให้เบาลงประมาณ 5–10 นาที เช่น เดินช้า ๆ หรือยืดเหยียดเบา ๆ เพื่อให้หัวใจและการไหลเวียนเลือดกลับสู่ปกติ ลดอาการเวียนหัว หน้ามืด และช่วยป้องกันกล้ามเนื้อตึงหรือบาดเจ็บ ทั้งยังทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ

หลังออกกำลังกายสิ่งที่ห้ามลืมคือ การดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อชดเชยของเหลวที่สูญเสียไปกับเหงื่อและช่วยให้ระบบร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยทั่วไปการออกกำลังกายเบา–ปานกลาง แค่ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าออกกำลังกายหนัก เหงื่อออกมาก ควรเสริมด้วยเครื่องดื่มเกลือแร่เพื่อทดแทนโซเดียมและอิเล็กโทรไลต์ที่หายไป จะช่วยลดอาการอ่อนเพลีย เวียนหัว และทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นเร็วกว่าเดิม การจิบน้ำทีละน้อยต่อเนื่องยังดีกว่าการดื่มรวดเดียว เพราะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

ยืด เหยียด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

หลังออกกำลังกาย การยืดเหยียดร่างกาย (Stretching) ถือว่าสำคัญพอ ๆ กับการวอร์มอัพเลย เพราะช่วยป้องกันอาการกล้ามเนื้อตึง เจ็บ ปวด หรือแข็งเกร็งเกินไป การยืดกล้ามเนื้อยังช่วยให้ร่างกายมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เคลื่อนไหวได้คล่องตัว ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บ และยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่ล้าให้กลับมามีพลังได้เร็วขึ้น ควรเน้นยืดเฉพาะส่วนที่ใช้งานหนัก เช่น ขา หลัง และแขน

หลีกเลี่ยงการนั่ง หรืออยู่เฉย ๆ ทันที

หลังจากออกกำลังกายเสร็จ แม้จะอยากนั่งพักทันที แต่การนั่งนิ่ง ๆ เลยอาจทำให้เลือดคั่งที่ขา ได้ ทางที่ดีควรผ่อนแรงลงด้วยการ เดินเบา ๆ หรือขยับร่างกายช้า ๆ สัก 5–10 นาที เพื่อให้หัวใจและระบบไหลเวียนเลือดค่อย ๆ กลับสู่ภาวะปกติ การทำแบบนี้ไม่เพียงช่วยลดอาการเวียนหัว หน้ามืด แต่ยังช่วยให้กล้ามเนื้อคายความตึง ลดโอกาสเกิดการบาดเจ็บ และทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นด้วย

อาบน้ำ สระผม ล้างแบคทีเรียออกไป

หลังออกกำลังกายควรรีบอาบน้ำหรืออย่างน้อยเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่อทันที เพราะเหงื่อและความอับชื้นเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค หากปล่อยไว้อาจเสี่ยงติดเชื้อรา กลากเกลื้อน หรือผื่นผิวหนังได้ การอาบน้ำจะช่วยล้างคราบเหงื่อ สิ่งสกปรก ลดการระคายเคือง พร้อมคืนความสดชื่นและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ แต่ถ้าไม่มีเวลาอาบน้ำจริง ๆ ควรถอดเสื้อผ้าเปียกออก เช็ดตัวให้สะอาด แล้วใส่ชุดใหม่ที่แห้งสะอาดแทนจนกว่าจะอาบน้ำ

เสริมสร้างกล้ามเนื้อด้วยโปรตีน

หลังออกกำลังกายสิ่งสำคัญคือการ เติมโปรตีนคุณภาพดีภายใน 30–60 นาที ซึ่งเป็นช่วงที่กล้ามเนื้อฟื้นฟูและดูดซึมสารอาหารได้ดีที่สุด การกินโปรตีนทันทีหลังออกกำลังไม่เพียงช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ แต่ยังช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันแทนที่จะสลายมวลกล้ามเนื้อ ตัวเลือกที่เหมาะได้แก่ อกไก่ ไข่ต้ม ปลาแซลมอน ถั่ว ธัญพืช นม โยเกิร์ต หรือโปรตีนเชคที่สะดวกและรวดเร็ว

กินคาร์โบไฮเดรต

หลังออกกำลังกายอย่ามองข้ามคาร์โบไฮเดรตและอาหารจำพวกนม เพราะไม่ใช่แค่โปรตีนเท่านั้นที่ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ แต่คาร์โบไฮเดรตคือแหล่งพลังงานหลักที่ร่างกายใช้ระหว่างออกกำลัง หากได้รับไม่พอ กล้ามเนื้ออาจถูกดึงมาเผาผลาญแทนจนทำให้ร่างกายอ่อนล้าและกล้ามเนื้อเสียได้ การกินแป้งที่เหมาะสม เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต มันหวาน หรือพาสต้า จะช่วยฟื้นฟูพลังงาน เติมความสดชื่น และซ่อมแซมกล้ามเนื้อให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ

พักผ่อนให้เพียงพอ

หลังออกกำลังกาย ร่างกายของเราจะเกิดความล้าและมีการสึกหรอของกล้ามเนื้อเล็ก ๆ การพักผ่อนจึงเป็นตัวช่วยซ่อมแซมที่ดีที่สุด การนอนหลับเพียงพอ 7–9 ชั่วโมงต่อคืนจะช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ปรับสมดุลฮอร์โมน เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นด้วย หากนอนดึกหรือนอนไม่พอ ต่อให้คุณออกกำลังกายอย่างเต็มที่ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะไม่สมบูรณ์และอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลียสะสมได้ง่าย

สังเกตอาการผิดปกติ

หลังออกกำลังกายสิ่งสำคัญอีกข้อที่ไม่ควรมองข้ามเลยคือ การฟังสัญญาณของร่างกายตัวเอง หากคุณมีอาการผิดปกติเช่น เจ็บแสบตามกล้ามเนื้อ ข้อต่อ หรือมีอาการเวียนหัว หน้ามืด แน่นหน้าอก ควรหยุดพักทันทีและรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะแต่ละคนมีสภาพร่างกายไม่เหมือนกัน บางคนอาจเพิ่งเริ่มออกกำลังกาย หรือฝืนทำหนักเกินไป จนทำให้ร่างกายบาดเจ็บได้ การใส่ใจอาการผิดปกติเล็กน้อยตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้พัฒนาเป็นปัญหาสุขภาพรุนแรงในภายหลังได้

บันทึกความก้าวหน้า

การจดบันทึกการออกกำลังกายถือเป็นอีกหนึ่ง เคล็ดลับสำคัญที่หลายคนมองข้าม เพราะมันช่วยให้คุณเห็นพัฒนาการของตัวเองอย่างเป็นรูปธรรม เช่น เวลา ระยะทาง น้ำหนักที่ยก หรือแม้แต่ความรู้สึกหลังออกกำลังกายในแต่ละครั้ง เมื่อเก็บข้อมูลไว้ต่อเนื่อง คุณจะสามารถประเมินได้ว่าร่างกายแข็งแรงขึ้นแค่ไหน และยังช่วยปรับเป้าหมายหรือโปรแกรมการฝึกในอนาคตให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

แหล่งที่มา : sistacafe.com

7 พฤติกรรมในออฟฟิศที่บ่งบอกว่า EQ ต่ำ

0

7 พฤติกรรมในออฟฟิศที่บ่งบอกว่า EQ ต่ำ

ในที่ทำงาน การเข้าใจนิสัยและอารมณ์ของแต่ละคนไม่เพียงช่วยให้เรารับมือกับคนอื่นได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้เรามองย้อนกลับมาพัฒนาตัวเองด้วย หนึ่งในทักษะสำคัญที่ทำให้คนประสบความสำเร็จคือ EQ (ความฉลาดทางอารมณ์) เพราะคนที่มี EQ สูงมักควบคุมอารมณ์ได้ดี เข้าใจความรู้สึกผู้อื่น และสร้างบรรยากาศการทำงานที่เป็นบวก ตรงกันข้ามหากขาด EQ ก็อาจแสดงพฤติกรรมที่ทำลายความสัมพันธ์และประสิทธิภาพทีมได้ง่าย ๆ ซึ่งต่อไปนี้คือ 7 พฤติกรรมที่สะท้อน EQ ต่ำ ที่คนมี EQ สูงจะหลีกเลี่ยงอย่างแน่นอน

ขาดทักษะความเห็นอกเห็นใจและไม่รู้จักฟัง

คนที่มี EQ ต่ำมักโฟกัสแต่ตัวเอง ไม่ใส่ใจความรู้สึกผู้อื่น และมักแสดงอารมณ์เชิงลบใส่เพื่อนร่วมงาน ทำให้บรรยากาศในที่ทำงานตึงเครียด อีกทั้งยังไม่ค่อยมีความอดทนในการฟัง ชอบขัดจังหวะหรือปฏิเสธความคิดเห็นคนอื่นทันที ซึ่งเป็นข้อบกพร่องสำคัญต่อการทำงานร่วมกัน เพราะทีมที่ดีต้องอาศัยทั้งการเคารพและการรับฟังซึ่งกันและกัน

ขาดความมั่นใจและขี้เกรงใจในงาน

คนที่มี EQ ต่ำมักไม่เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง พอเจองานท้าทายก็มักเครียด กังวล และปฏิเสธโอกาสใหม่ ๆ เพราะกลัวล้มเหลว ส่งผลให้ไม่ก้าวหน้าเท่าคนอื่น ๆ ระยะยาวยังทำให้เพื่อนร่วมงานไม่กล้ามอบหมายงานสำคัญให้ กลายเป็นถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว

กลัวแสดงความเห็น ขาดความมั่นคงในจุดยืน

คนที่มี EQ ต่ำมักเงียบในการประชุม ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเพราะกลัวถูกคัดค้าน หรือไม่ถนัดการสื่อสาร ผลคือขาดจุดยืนในทีม พลาดโอกาสแสดงความสามารถ และในระยะยาวอาจถูกมองว่า “ไม่มีตัวตน” ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือและไม่โดดเด่นในงาน

ขาดวินัยและแรงจูงใจภายใน

คน EQ ต่ำมักทำงานไม่เป็นระบบ ขาดความรับผิดชอบ เช่น มาสาย ส่งงานช้า หรือเลื่อนงานบ่อย ๆ อีกทั้งยังไม่ค่อยมีแรงจูงใจในการพัฒนาตัวเอง ไม่แสวงหาความรู้หรือโอกาสใหม่ ๆ จนสุดท้ายถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ขณะที่เพื่อนร่วมงานก้าวหน้าไปไกลกว่า

ขาดความร่วมมือและการสร้างสัมพันธ์

คน EQ ต่ำมักคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่เต็มใจแบ่งปันข้อมูล และไม่ยินดีทำงานร่วมกับผู้อื่น ส่งผลให้การทำงานเป็นทีมสะดุดและความสัมพันธ์ในทีมแย่ลง พวกเขามักกลายเป็น “จุดอ่อน” ของโครงการ ขณะที่คน EQ สูงจะรู้จักประสานงาน ช่วยเหลือ และทำงานร่วมกับทีมเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน

ขาดความซื่อสัตย์และไม่น่าเชื่อถือ

ความซื่อสัตย์คือหัวใจของการทำงาน แต่คน EQ ต่ำมักชอบโอ้อวดผลงาน ปกปิดข้อผิดพลาด หรือแม้กระทั่งแย่งเครดิตและโยนความผิดให้คนอื่น พฤติกรรมเหล่านี้ทำลายความไว้วางใจในทีม และเมื่อถูกมองว่า “ไม่น่าเชื่อถือ” ก็ยากที่จะกู้ภาพลักษณ์กลับมาได้

ขาดความเคารพและไม่ให้อภัย

คน EQ ต่ำมักมีอัตตาสูง รับฟังคำติชมไม่เป็น และตอบสนองรุนแรงเมื่อถูกวิจารณ์ พวกเขามักถกเถียงเพื่อ “เอาชนะ” โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น ส่งผลให้บรรยากาศการทำงานตึงเครียด และเพื่อนร่วมงานค่อย ๆ ถอยห่างออกไป จนสุดท้ายกลายเป็นคนนอกในทีม

แหล่งที่มา : www.sanook.com

ผลไม้สุดโปรด บอกความเป็นคุณได้มากกว่าที่คิด

0

ผลไม้สุดโปรด บอกความเป็นคุณได้มากกว่าที่คิด

มาลองทายนิสัยจากผลไม้ที่ชอบกัน ไม่ว่าจะชอบส้ม แอปเปิ้ล หรือทุเรียน ก็สะท้อนตัวตน ความรัก และสไตล์การทำงานของคุณได้ มาดูกันว่าแม่นแค่ไหน แล้วผลไม้ที่คุณโปรดที่สุดจะบอกอะไรเกี่ยวกับคุณ ไปเช็กกันเลย

สตรอว์เบอร์รี

ถ้าคุณชอบสตรอว์เบอร์รี แปลว่าคุณเป็นคนร่าเริง มีเสน่ห์ และเป็นศูนย์กลางของความสนุกสนาน อยู่ที่ไหนก็สร้างรอยยิ้มและบรรยากาศดี ๆ ได้เสมอ คุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีรสนิยมดี และชอบเป็นจุดเด่น แต่ก็มีด้านที่ อ่อนไหวง่ายและแคร์ความรู้สึกคนอื่นมาก บางครั้งอาจใจร้อนหรือทำตามอารมณ์เกินไป แต่โดยรวมแล้วคุณคือคนที่ใครอยู่ใกล้แล้วรู้สึกแฮปปี้

กล้วย

ถ้าคุณชอบกล้วย  บอกได้เลยว่าคุณเป็นคนอบอุ่น ใจดี และโอบอ้อมอารี รักความสงบ มีเหตุผล และชอบช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำที่ดีแก่คนรอบข้าง คุณมีเสน่ห์จากความสุขุมและนิสัยนักวางแผน แต่ลึก ๆ แล้วคุณอาจไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองนัก แถมยังอ่อนไหวง่ายและแคร์ความรู้สึกของคนอื่นมาก จุดนี้เองทำให้คุณเป็นคนอ่อนโยนที่ใครอยู่ใกล้ก็รู้สึกสบายใจ เพียงแค่เพิ่มความเชื่อมั่นให้ตัวเองอีกนิด คุณจะยิ่งเปล่งเสน่ห์มากกว่าเดิม

สัปปะรด

ถ้าคุณชอบสัปปะรด  คุณเป็นคนที่เต็มไปด้วยพลังความมั่นใจและมีภาวะผู้นำสูง ภายนอกอาจดูแข็งแกร่งจริงจัง แต่ลึก ๆ แล้วอบอุ่นและใส่ใจคนรอบข้างมาก คุณแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง มีเป้าหมายชัดเจนและพร้อมพุ่งชนเสมอ เรื่องการคบคนก็เลือกมากหน่อย ใครไม่จริงใจคุณไม่เอา แต่ถ้าไว้ใจใครแล้วจะทุ่มความซื่อสัตย์และจริงใจให้เต็มร้อยเลยทีเดียว ความรักของคุณก็ตรงไปตรงมา ใครได้อยู่ใกล้ถือว่าโชคดีสุด ๆ เสน่ห์เด่นคือการเทคแคร์ผู้อื่นเก่ง แต่ตัวตนที่ซ่อนอยู่คือคุณไม่ชอบขอความช่วยเหลือจากใคร มักเก็บปัญหาหนัก ๆ ไว้กับตัวเองเงียบ ๆ มากกว่า

แอปเปิล

ถ้าคุณเป็นสายแอปเปิล บอกเลยว่าคุณคือคนมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง กล้าพูด กล้าแสดงออก และรับมือกับสถานการณ์ยาก ๆ ได้เก่งสุด ๆ เพราะคุณเป็นคนมีเหตุผล รักระเบียบ และวางแผนชีวิตเป็นระบบ แถมยังใส่ใจสุขภาพอีกต่างหาก เรื่องความรัก คุณไม่ได้เพ้อฝันฟุ้งเกินจริง แต่ยืนอยู่บนพื้นฐานของความจริง ต้องการความสงบ ไม่ชอบทะเลาะเบาะแว้ง และเป็นคนที่คอยให้กำลังใจคู่รักเสมอ เสน่ห์ของคุณอยู่ตรงที่ความมั่นคงและการเป็นที่พึ่งได้ แต่ตัวตนลึก ๆ อาจจะดูดื้อ ไม่ค่อยยืดหยุ่น และบางครั้งก็ปิดกั้นอารมณ์ ทำให้คนรอบตัวรู้สึกว่าคุณแข็งกระด้างกว่าที่เป็นจริง

ส้ม

ถ้าคุณชอบส้ม คุณคือคนสดใส เข้ากับคนง่าย มีพลังบวก และน่าเชื่อถือ มักทุ่มเททั้งเรื่องงานและความรักแบบจริงใจ แต่บางครั้งก็โฟกัสคนอื่นมากกว่าตัวเอง จนซ่อนความรู้สึกไว้เงียบ ๆ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้ราบรื่น

พีช

ถ้าคุณเป็นสายลูกพีช นั่นบอกเลยว่าคุณเป็นคนน่าคบหา เข้ากับคนง่าย อ่อนหวานแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์พิเศษที่ดึงดูดใจคนรอบข้าง คุณรักในศิลปะและความงาม ชอบอะไรที่มีสไตล์และดูดีเสมอ ที่สำคัญยังเป็นคนจริงใจ เปิดเผย กล้าพูดกล้าทำ รักอิสระ และชอบแสดงความรู้สึกออกมาแบบไม่กั๊ก แต่ในอีกมุมหนึ่ง คุณเป็นคนที่อ่อนไหวง่าย มีจิตใจบอบบาง คำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อาจกระทบใจได้มากทีเดียว

มะละกอ

ถ้าคุณเป็นคนชอบมะละกอ บอกเลยว่าชีวิตคุณเต็มไปด้วยสีสันและพลังงานล้นเหลือ ชอบสร้างเสียงหัวเราะและความสุขให้กับคนรอบตัว เข้ากับคนง่าย เป็นมิตร ใจเย็น และมักดูแลคนอื่นได้ดี แต่ขณะเดียวกันก็รักการผจญภัยและความท้าทาย ในเรื่องความรักคุณเป็นคนเอาใจใส่และทุ่มเทมาก พร้อมตามใจคนรักแทบทุกอย่าง ข้อดีคือใครได้อยู่ใกล้คุณจะรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขเสมอ ส่วนข้อเสียคือคุณมักจะขี้กังวลและไม่ค่อยกล้าออกจากคอมฟอร์ตโซนมากนัก

องุ่น

ถ้าคุณเป็นคนชอบกินองุ่น บอกได้เลยว่าคุณเป็นสายสังคมตัวจริง รักการอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงและครอบครัว ไม่ชอบความเหงา ชอบความสวยงามและมีรสนิยมที่ดีทั้งเรื่องแฟชั่นและศิลปะ มักเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองเสมอ จุดเด่นคือเป็นคนที่มีภาวะผู้นำสูง พูดเก่ง มีวาทศิลป์ และมักทำงานประสานงานหรือเจรจาได้สำเร็จเสมอ แต่ข้อเสียคือขี้หงุดหงิด อารมณ์ร้อน และบางครั้งตามใจตัวเองเกินไป รวมถึงใช้จ่ายเงินเก่งเล็กน้อย ถ้าปรับนิสัยจุดนี้ได้จะยิ่งน่าประทับใจมากขึ้น

ทุเรียน

ถ้าคุณเป็นสายทุเรียน ราชาแห่งผลไม้ บอกเลยว่าคุณคือคนที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนและซับซ้อน ภายนอกอาจดูแข็งแกร่ง เข้มแข็ง แต่ลึก ๆ แล้วเป็นคนอ่อนโยนและอบอุ่น คุณมีความมั่นใจในตัวเองสูง เป็นตัวของตัวเองแบบเต็มร้อย ไม่เปลี่ยนเพื่อเอาใจใครง่าย ๆ แถมยังมีความหลงใหลและความเด็ดเดี่ยว เวลาตัดสินใจรักหรือชอบอะไรสักอย่าง คุณจะทุ่มเทให้สิ่งนั้นแบบสุดหัวใจ จุดที่น่าสนใจคือคุณมักถูกคนอื่นเข้าใจผิดจากภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูแข็งกร้าว และคุณเองก็มักสร้างกำแพงเพื่อปกป้องตัวเอง คล้ายหนามแหลมของทุเรียน แต่ถ้าใครได้รู้จักตัวตนจริง ๆ ก็จะเจอความน่ารักและอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ในใจคุณ

แหล่งที่มา : sistacafe.com

10 ไลฟ์สไตล์สุดพัง ทำให้ผมร่วงผมบางกว่าเดิม

0
ผมร่วง

10 ไลฟ์สไตล์สุดพัง ทำให้ผมร่วงผมบางกว่าเดิม

ผมร่วงเต็มพื้นทุกวันจนเริ่มกังวลใช่มั้ย? อาการแบบนี้ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ ไม่ดีแน่ เพราะอาจกลายเป็นผมบางหรือหัวล้านได้ หลายครั้งต้นเหตุมาจากไลฟ์สไตล์ที่เราทำอยู่ทุกวันโดยไม่รู้ตัวนี่แหละ บทความนี้เลยอยากชวนทุกคนมาเช็กกันหน่อยว่า พฤติกรรมอะไรบ้างที่เผลอทำจนผมร่วงหนักขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเจอตัวการแล้ว รีบหยุดก่อนที่เส้นผมจะจากไปแบบไม่หวนกลับ

ผมร่วง

สระผมบ่อยเกินไป

การสระผมวันละ 2 รอบทั้งเช้าและเย็นอาจทำให้หนังศีรษะแห้ง จนกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ส่งผลให้ผมมันเร็ว อ่อนแอ และร่วงง่ายขึ้น ที่สำคัญยังเสี่ยงเกิดรังแคได้อีกด้วย แนะนำให้สระผมเพียง 3–5 ครั้งต่อสัปดาห์หรือวันเว้นวันก็พอ และสระแค่รอบเดียวต่อวัน เพื่อให้หนังศีรษะได้พักและสร้างน้ำมันตามธรรมชาติออกมาหล่อเลี้ยงเส้นผม

หวีผมแรง ๆ หรือหวีตอนผมเปียก

หลายคนคิดว่าหวีผมตอนเปียกจะช่วยให้ผมไม่พันกัน แต่จริง ๆ แล้วผมที่ยังชื้นจะอ่อนแอและเปราะบางที่สุด การหวีแรง ๆ หรือกระชากเพื่อให้ผมเรียบเร็ว ๆ มีแต่จะทำให้ผมขาด หลุดร่วงง่าย เกล็ดผมเปิด จนกลายเป็นผมชี้ฟูเสียหาย ทางที่ดีควรซับผมด้วยผ้าขนหนูเบา ๆ เป่าให้หมาดด้วยลมเย็นหรืออุ่นแล้วค่อยใช้หวีซี่ห่างหวีอย่างนุ่มนวล

ใช้ผ้าขนหนูขยี้ผมแรง ๆ หลังสระ

หลังสระผมใหม่ ๆ เส้นผมจะอ่อนแอและเปราะบางที่สุด การใช้ผ้าขนหนูขยี้แรง ๆ เพื่อให้ผมแห้งไว อาจทำให้เส้นผมขาดหลุดร่วงได้ง่าย แถมยังทำให้เกล็ดผมเสียจนผมชี้ฟูไม่สวย ทางที่ดีควรใช้ผ้าขนหนูซับน้ำออกเบา ๆ ก็เพียงพอแล้ว

มัดผมตึงแน่นเกินไป

ทรงผมเก๋ ๆ อาจดูสวยตอนทำ แต่ถ้าทำบ่อย ๆ โดยเฉพาะการรวบตึงแน่นหรือจัดทรงที่ดึงรั้งแรง ๆ จะทำให้รากผมถูกกระชากจนเส้นผมอ่อนแอและหลุดร่วงง่ายขึ้น หากใครชอบมัดผม แนะนำให้เลือกมัดแบบหลวม ๆ สไตล์เกาหลี ไม่เพียงช่วยถนอมเส้นผม แต่ยังลดความรู้สึกเจ็บและตึงที่หนังศีรษะด้วย

ใช้สารเคมีจัดแต่งผมบ่อยเกินไป

แฮร์สเปรย์ มูส แวกซ์ น้ำมันใส่ผม ยาย้อมผม รวมถึงแชมพู และครีมนวดที่มีสารเคมีรุนแรงและซิลิโคน ล้วนเป็นตัวการสะสมสารเคมีบนหนังศีรษะ ทำให้รากผมอ่อนแอ เส้นผมเปราะบาง และหลุดร่วงง่ายขึ้น ทางที่ดีควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยนจากธรรมชาติปราศจากสารเคมีอันตราย จะช่วยลดปัญหาผมร่วงและถนอมสุขภาพเส้นผมในระยะยาว

ใช้ความร้อนกับเส้นผมบ่อยเกินไป

ไม่ว่าจะเป็นน้ำร้อนในการสระผม หรือการใช้ไดร์ หนีบ ม้วนทุกวัน ความร้อนเหล่านี้ล้วนทำร้ายหนังศีรษะและเส้นผมโดยตรง น้ำร้อนทำให้หนังศีรษะแห้งลอก โปรตีนในเส้นผมเสียหาย จนผมแห้งเสีย แตกปลาย และร่วงง่าย ส่วนความร้อนจากอุปกรณ์จัดแต่งทรงผมก็ยิ่งเร่งให้เส้นผมอ่อนแอและหลุดร่วงเร็วขึ้น ทางที่ดีควรสระผมด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ และเว้นช่วงการใช้ความร้อน เพื่อถนอมทั้งเส้นผมและหนังศีรษะให้อยู่แข็งแรงนานขึ้น

กินตามใจปากเกินไป

การตามใจปากบ่อย ๆ ไม่ว่าจะมันจัด หวานจัด หรือเค็มจัด ไม่เพียงทำลายสุขภาพแต่ยังทำร้ายเส้นผมด้วย เพราะอาหารเหล่านี้ให้สารอาหารไม่พอสำหรับบำรุงผม ทำให้เส้นผมเปราะ ขาด และหลุดร่วงง่ายขึ้น โดยเฉพาะสายปาร์ตี้ที่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ บอกเลยว่าสองสิ่งนี้คือตัวการใหญ่ที่ทำลายเส้นผมให้เสียสภาพเร็วขึ้น

ไม่เคยบำรุงเส้นผมเลย

การบำรุงเส้นผมก็สำคัญไม่ต่างจากการดูแลผิว ถ้าปล่อยให้ผมและหนังศีรษะขาดการบำรุงก็เสื่อมสภาพเร็ว ทำให้เกิดปัญหาผมร่วง ผมบาง และรังแคตามมาได้ง่าย แนะนำให้หมักผมด้วยสูตรธรรมชาติอย่าง ไข่ โยเกิร์ต น้ำผึ้ง หรือใช้ทรีตเมนต์ที่ปราศจากสารเคมี อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง เพื่อเติมความชุ่มชื้นและสารอาหารให้เส้นผมแข็งแรง

ใช้มือลูบผม-สางผมเล่นบ่อย ๆ

หลายคนชอบเอามือสางผม เกาผม หรือเล่นผมเพลิน ๆ คิดว่าไม่เป็นไร แต่จริง ๆ แล้วนี่คืออีกพฤติกรรมที่ทำให้ผมร่วงเพราะการสางด้วยมือหรือดึงผมแรง ๆ เวลาคันหรือผมพันกัน จะทำให้เส้นผมขาดและรากผมอ่อนแรงได้ง่าย นอกจากนี้การเกาหัวแรง ๆ ไม่ว่าจะตอนสระผมหรือระหว่างวัน ก็ทำให้หนังศีรษะระคายเคืองและผมหลุดร่วงมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทางที่ดีควรเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ และหันมาใช้หวีซี่ห่างหรือแปรงที่ออกแบบมาเพื่อถนอมผมแทน

แหล่งที่มา : sistacafe.com

5 พฤติกรรมที่เผยว่าคุณอาจมี EQ ต่ำกว่าที่คิด

0
EQ

5 พฤติกรรมที่เผยว่าคุณอาจมี EQ ต่ำกว่าที่คิด

ในยุคที่โลกซับซ้อนและแข่งขันสูง แค่มี IQ หรือ ความฉลาดทางสติปัญญา อย่างเดียวอาจไม่พอ เพราะการใช้ชีวิตและการทำงานให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมี EQ หรือ ความฉลาดทางอารมณ์ ด้วย ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเข้าใจ จัดการอารมณ์ของตัวเอง และมองออกถึงความรู้สึกของคนรอบข้าง

EQ

หากขาด EQ หรือมีระดับ EQ ต่ำ อาจกระทบทั้งการทำงาน ความสัมพันธ์ และสุขภาพจิตโดยไม่รู้ตัว มาลองเช็กกันว่าพฤติกรรมแบบไหนที่กำลังบอกว่า EQ ของคุณอาจไม่สูงอย่างที่คิด แล้วถึงเวลาที่ต้องหันมาปรับตัวเองใหม่หรือยัง

ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้

คนที่มี EQ ต่ำ มักถูกอารมณ์ครอบงำง่าย ทั้งโกรธ หงุดหงิด หรือเศร้า จนแสดงออกโดยไม่คิด เช่น ระเบิดอารมณ์ใส่คนอื่นเมื่อไม่พอใจ หรือทำสีหน้า/ท่าทางไม่เหมาะสมในที่สาธารณะ พฤติกรรมแบบนี้ทำให้คนรอบข้างรู้สึกอึดอัดและไม่อยากเข้าใกล้

ขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

คนที่มี EQ ต่ำ มักมองโลกจากมุมของตัวเองเป็นหลัก ไม่สนใจว่าคำพูดหรือการกระทำจะกระทบความรู้สึกใคร บางครั้งพูดตรงเกินไปจนทำร้ายจิตใจ หรือไม่สามารถปลอบใจและให้กำลังใจผู้อื่นได้เมื่อเจอปัญหา ทำให้ดูเย็นชาและห่างเหินจากคนรอบข้าง

มีทัศนคติเชิงลบตลอดเวลา

คนที่มี EQ ต่ำ มักมองโลกในแง่ร้าย คอยโทษคนอื่นหรือสถานการณ์มากกว่าหาทางแก้ปัญหา ทำให้บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยพลังงานลบ นอกจากจะกระทบต่อความสัมพันธ์แล้ว ยังปิดโอกาสในการพัฒนาตัวเองและก้าวไปข้างหน้า

ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

คนที่มี EQ ต่ำ มักเชื่อว่าความคิดของตัวเองถูกต้องที่สุด ไม่เปิดใจรับฟังคำแนะนำหรือข้อเสนอแนะจากใคร บางครั้งขัดจังหวะการสนทนา หรือปฏิเสธทันทีโดยไม่มีเหตุผล พฤติกรรมแบบนี้ทำให้เสียโอกาสในการเรียนรู้ และทำให้คนรอบข้างรู้สึกไม่ได้รับการเคารพ

ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

คนที่มี EQ ต่ำ มักเอาตัวเองไปเทียบกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเรื่องงาน เงิน หรือความสัมพันธ์ ผลลัพธ์คือความรู้สึกอิจฉา ไม่พอใจ และมองไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ การเปรียบเทียบตลอดเวลาทำให้จิตใจอ่อนล้าและบั่นทอนความมั่นใจในระยะยาว

แหล่งที่มา : www.sanook.com

กินง่าย สบายท้อง รวมผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้สูงวัย

0

กินง่าย สบายท้อง รวมผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้สูงวัย

เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายและระบบย่อยอาหารก็ทำงานช้าลง ส่งผลให้ผู้สูงวัยหลายคนมักเผชิญกับปัญหาท้องอืด ย่อยยาก หรือเคี้ยวอาหารไม่สะดวก การเลือกทานอาหารที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะผลไม้ที่นอกจากจะให้วิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ที่ดีต่อสุขภาพแล้ว ยังต้องเคี้ยวง่าย ย่อยสบาย และไม่หนักท้อง บทความนี้เราได้รวบรวมผลไม้ที่เหมาะกับผู้สูงวัยมาฝากกัน จะได้ทั้งประโยชน์ทางโภชนาการ แถมยังช่วยให้สุขภาพแข็งแรงและมีชีวิตชีวาในทุก ๆ วัน

ส้ม

ผลไม้เปรี้ยวอมหวาน เคี้ยวง่าย เหมาะกับผู้สูงวัย อุดมด้วยวิตามินซี เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยให้แผลหายเร็ว ลดปัญหาเลือดออกตามไรฟัน และมีโพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิต เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีปัญหาความดันสูง

มะม่วงสุก

ผลไม้หวานฉ่ำ เนื้อนิ่ม เคี้ยวง่าย เหมาะกับผู้สูงวัย อุดมด้วยวิตามินซี ช่วยดูดซึมธาตุเหล็กและลดปัญหาเลือดออกตามไรฟัน อีกทั้งยังมีวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตาและเสริมภูมิคุ้มกัน แต่ควรกินในปริมาณพอดี เพราะมีน้ำตาลค่อนข้างสูง

กล้วย

ผลไม้เนื้อนิ่ม เคี้ยวง่าย เหมาะกับผู้สูงวัย อุดมด้วยโพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิตและบำรุงระบบกล้ามเนื้อ-ประสาท อีกทั้งยังมีแมกนีเซียม ที่ช่วยเสริมการทำงานของหัวใจ กระดูก และภูมิคุ้มกัน แต่ควรกินในปริมาณพอดีเพราะมีน้ำตาลสูง

มะละกอสุก

ผลไม้เนื้อนิ่ม ย่อยง่าย เหมาะกับผู้สูงวัย อุดมด้วยวิตามินซี ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ดูดซึมธาตุเหล็ก และป้องกันเลือดออกตามไรฟัน อีกทั้งยังบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงภาวะจอประสาทตาเสื่อม แต่ควรกินพอเหมาะเพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ

แก้วมังกร

ผลไม้เนื้อนิ่ม ย่อยง่าย เหมาะกับผู้สูงวัย อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการอักเสบและโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หัวใจ และมะเร็ง อีกทั้งยังมีธาตุเหล็ก ช่วยสร้างเม็ดเลือดป้องกันโลหิตจาง เสริมกล้ามเนื้อให้แข็งแรง พร้อมทั้งมีโพแทสเซียม แคลเซียม และแมกนีเซียม ที่บำรุงกระดูก ระบบประสาท และช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย เหมาะใส่ไว้ในกระเช้าสุขภาพสำหรับผู้สูงวัยสุด ๆ

แคนตาลูป

ผลไม้เนื้อนิ่ม เคี้ยวง่าย เหมาะกับผู้สูงวัย อุดมด้วยเบตาแคโรทีน ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง และมีวิตามินซีสูง เสริมภูมิคุ้มกัน สร้างเม็ดเลือดขาว ป้องกันเชื้อโรคและไวรัส อีกทั้งยังช่วยบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงโรคต้อกระจก ส่วนโพแทสเซียมในแคนตาลูปช่วยขยายหลอดเลือด กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และลดความดันได้อย่างเป็นธรรมชาติ

อะโวคาโด

ถึงรสชาติอาจไม่หวานฉ่ำเหมือนผลไม้อื่น ๆ แต่อะโวคาโด ถือว่าเป็นผลไม้ที่เหมาะสุด ๆ สำหรับผู้สูงวัย เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย มีวิตามินบี ป้องกันโรคเหน็บชา ซึ่งพบได้บ่อยในผู้สูงวัย รวมถึงวิตามินอี ที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และยังมีโฟเลท และ โพแทสเซียม ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง และควบคุมความดันโลหิตได้ดี

แอปเปิล

แม้จะไม่ใช่ผลไม้เนื้อนิ่ม แต่แอปเปิลก็กินง่ายและเต็มไปด้วยประโยชน์ มีทั้งววิตามินซี เสริมภูมิคุ้มกัน, สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย, และไฟเบอร์ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร นอกจากนี้ยังดีต่อสมอง ปอด และหัวใจ ช่วยลดคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคหอบหืด และยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดี อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังอย่าง มะเร็ง หัวใจ และเบาหวานชนิดที่ 2

แตงโม

แม้จะเป็นผลไม้ลูกใหญ่ แต่แตงโมก็เหมาะกับผู้สูงวัย รวมถึงผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะแม้จะมีรสหวาน แต่ค่าคาร์โบไฮเดรตไม่สูง ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่พุ่งขึ้นทันที ประโยชน์ของแตงโมคือช่วยลดไขมันในเลือด, มี วิตามินเอ บำรุงสายตา, กรดอะมิโน ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ, และ ไลโคปีน ที่ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็ง อีกทั้งยังมีน้ำมาก ทำให้ผิวพรรณและเส้นผมชุ่มชื้น ช่วยควบคุมน้ำหนัก และลดอาการอักเสบได้ด้วย

กีวี

ผลไม้เนื้อสีเขียวเคี้ยวง่ายที่อัดแน่นไปด้วยวิตามินซีสูงกว่าส้มและมะนาว ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและชะลอวัย อีกทั้งยังมีไฟเบอร์ช่วยเรื่องการย่อยอาหาร ลดอาการท้องผูกและแก๊สในกระเพาะ เหมาะกับผู้สูงวัยที่ระบบขับถ่ายทำงานไม่เต็มที่ นอกจากนี้กีวียังมีแคลอรีต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และช่วยลดความอยากทานของหวานได้อีกด้วย ที่สำคัญยังมีคุณสมบัติลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และมีเอนไซม์บางชนิดที่ช่วยปรับอารมณ์ให้สดใสขึ้น แต่เพราะกีวีมีโพแทสเซียมสูง จึงควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิต

แหล่งที่มา : sistacafe.com

“โรคเจ้าหญิง” ภัยเงียบที่ทำให้คุณกลายเป็นพิษในทีมโดยไม่รู้ตัว

0
โรคเจ้าหญิง

“โรคเจ้าหญิง” ภัยเงียบที่ทำให้คุณกลายเป็นพิษในทีมโดยไม่รู้ตัว

“โรคเจ้าหญิง” (Princess Syndrome) ไม่ใช่โรคทางกาย แต่เป็นคำเรียกพฤติกรรมและทัศนคติของคนที่มองว่าตัวเองเป็นศูนย์กลาง คาดหวังการปฏิบัติพิเศษ ไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง พฤติกรรมแบบนี้เกิดได้กับทุกเพศ และอาจบั่นทอนบรรยากาศการทำงานและความสัมพันธ์ในองค์กรอย่างมาก”โรคเจ้าหญิง” (Princess Syndrome) คืออะไร?

โรคเจ้าหญิง

คำนี้ไม่ได้หมายถึงโรคจริง ๆ แต่ใช้เรียกเชิงเสียดสีถึงพฤติกรรมที่มองตัวเองเป็นศูนย์กลาง คาดหวังการดูแลเป็นพิเศษ และมักไม่ยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง โดยลักษณะเด่นในที่ทำงานมักเป็นแบบนี้

  • ไม่รับฟังผู้อื่น เชื่อว่าความคิดตัวเองถูกที่สุด ปิดกั้นข้อเสนอแนะ
  • ปัดความรับผิดชอบ โทษคนอื่นหรือสถานการณ์แทนที่จะยอมรับผิด
  • ทำงานไม่เต็มที่ หวังผลลัพธ์ดีโดยไม่ลงแรงเท่าคนอื่น
  • ขาดน้ำใจต่อเพื่อนร่วมงาน มองแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง
  • ชอบเรียกร้องความสนใจ ต้องการคำชมและการยอมรับตลอดเวลา
  • ไม่เคารพกฎระเบียบ คิดว่ากติกาใช้กับตัวเองไม่ได้

ผลกระทบของ “โรคเจ้าหญิง” ต่อการทำงาน

ต่อตัวเอง

  • หยุดพัฒนา: การไม่ยอมรับความผิดพลาด ทำให้ขาดโอกาสเรียนรู้และปรับปรุงตนเอง
  • พลาดโอกาสเติบโต: ผู้บริหารมองหาคนทำงานเป็นทีม มีความรับผิดชอบ และพร้อมเรียนรู้ ทัศนคติแบบนี้จึงยากจะได้งานสำคัญ
  • ถูกกันออกจากวง: เพื่อนร่วมงานเลี่ยงการร่วมงาน ทำให้สื่อสารและทำงานร่วมกันยากขึ้น

ต่อทีมและองค์กร

  • ประสิทธิภาพลดลง: การไม่ร่วมมือ โยนความผิด และขาดความรับผิดชอบ ทำให้โปรเจกต์ล่าช้า
  • บรรยากาศเป็นพิษ: เกิดความอิจฉา ความขัดแย้ง และบั่นทอนกำลังใจของทีม
  • กระทบภาพลักษณ์องค์กร: ทัศนคติที่ไม่เป็นมืออาชีพส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้าและพันธมิตร

ปรับทัศนคติ เพื่อก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพ

การเปลี่ยนทัศนคติไม่ง่าย แต่เริ่มได้ทันทีถ้าคุณเปิดใจและอยากพัฒนาตัวเอง

  • ยอมรับความจริง: ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ความผิดพลาดคือโอกาสเรียนรู้และเติบโต
  • ฟังอย่างตั้งใจ: เปิดใจรับมุมมองใหม่ ๆ อาจช่วยให้พบวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่า
  • เคารพความเสมอภาค: ทุกคนในทีมมีคุณค่าและบทบาทสำคัญเท่าเทียมกัน
  • รับผิดชอบเต็มที่: ทำงานให้ดีที่สุด และถ้าพลาด ให้กล้ายอมรับและแก้ไขร่วมกัน
  • โฟกัสทีมเป็นหลัก: มองเป้าหมายของทีมและองค์กรเป็นหนึ่งเดียวกับตัวคุณ
  • เปลี่ยนมุมมอง: จาก “คนที่รอให้บริการ” เป็น “ผู้เล่นคนหนึ่ง” ที่ร่วมมือเพื่อความสำเร็จ

แหล่งที่มา : www.sanook.com