Home Blog

9 วิธีดูแลร่างกายสำหรับคนนอนดึก

0

9 วิธีดูแลร่างกายสำหรับคนนอนดึก

หลายคนจำเป็นต้องนอนดึก ไม่ว่าจะเพราะงาน ความเครียด หรือไลฟ์สไตล์ส่วนตัว จนทำให้ร่างกายล้า สมองตื้อ และอารมณ์แปรปรวนได้ง่าย แต่แม้จะหลีกเลี่ยงการนอนดึกไม่ได้ ก็ยังสามารถดูแลร่างกายให้ดีขึ้นได้ วันนี้เรารวม 9 วิธีดูแลตัวเองสำหรับคนนอนดึก ให้ทำตามง่าย ๆ และช่วยลดผลเสียจากการพักผ่อนน้อยได้จริง

พยายามนอนก่อนตี 2 ให้ได้

ช่วงเวลา 23.00–02.00 น. คือช่วงที่ร่างกายหลั่ง “โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone)” มากที่สุด ซึ่งช่วยทั้งเรื่องการเจริญเติบโต (ในวัยรุ่น) และเรื่องการซ่อมแซมร่างกาย รวมถึงการชะลอวัย ใครอยากหน้าเด้ง ผิวแข็งแรง ควรพยายามนอนก่อนตี 2 แม้จะนอนดึกแต่ยังได้รับฮอร์โมนช่วงทองอยู่

ต้องได้นอนลึกอย่างน้อย 4–6 ชั่วโมง

ถ้าวันไหนต้องนอนหลังตี 2 จริง ๆ ต้องพยายามนอนให้เต็มอย่างน้อย 4–6 ชั่วโมง แบบหลับลึก ไม่สะดุ้งตื่นกลางคัน เพื่อให้ร่างกายได้พักและฟื้นตัวอย่างมีคุณภาพ ดีกว่าการนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืน

จัดเวลานอนเร็วสักวันบ้าง

ถ้านอนดึกติดกันหลายวัน ร่างกายจะอ่อนล้าแบบสะสม ลองเลือกสักวันหนึ่งที่ปิดงานทุกอย่าง แล้วเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม เพื่อรีเซ็ตระบบฮอร์โมนและนาฬิกาชีวิต คุณจะพบว่าตื่นมาแล้วสดชื่นกว่าเดิมมาก แบบที่ไม่เคยรู้สึกมานาน

ออกกำลังกายเบา ๆ ปลุกพลังร่างกาย

คนนอนดึกมักรู้สึกง่วงทั้งวัน ลองขยับร่างกายเบา ๆ เช่น เดินเร็ว แกว่งแขน หรือยืดเส้น 5–10 นาที จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น เพิ่มออกซิเจนให้สมอง และทำให้รู้สึกตื่นตัวขึ้นทันที

งีบสั้น ๆ 20 นาที เพิ่มพลังแบบไม่เพลีย

ถ้าง่วงจนตาแทบปิด ให้งีบสั้น ๆ 20–30 นาทีในช่วง 13.00–16.00 น. จะช่วยให้สดชื่นเหมือนเติมพลังใหม่ แต่ไม่ควรงีบหลังสี่โมงเย็น เพราะจะทำให้นอนไม่หลับตอนกลางคืน และอาจปวดหัวตอนตื่นได้

เสริมวิตามินให้ร่างกาย

คนนอนดึกควรเสริมวิตามินบีรวม (Vitamin B Complex) เพื่อช่วยให้ระบบประสาททำงานดีขึ้น ลดอาการล้า และเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า รวมถึงอาจเสริมแมกนีเซียมเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อและสมองผ่อนคลาย

งดคาเฟอีนหลังบ่ายสอง

คาเฟอีนช่วยให้ตื่นก็จริง แต่ฤทธิ์อยู่ได้นาน 4–6 ชั่วโมง ทำให้ถึงเวลานอนจริง ๆ ก็ยังไม่ง่วง หากยังต้องดื่มกาแฟ ให้ดื่มก่อนบ่ายสองเท่านั้น และเลี่ยงชาเขียว น้ำอัดลม ช็อกโกแลต หรือเครื่องดื่มชูกำลังในช่วงเย็นเด็ดขาด

เลือกอาหารบำรุงสมองและลดอาการล้า

เมื่อพักผ่อนไม่พอ สมองมักล้าและโฟกัสได้ยาก จึงควรเติมพลังด้วยอาหารที่ช่วยบำรุงระบบประสาท เช่น กล้วย ไข่ ถั่วเปลือกแข็ง ผักและผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี รวมถึงอาหารที่มีวิตามินบีสูง ซึ่งล้วนช่วยเพิ่มความสดชื่น ลดอาการเพลีย และช่วยให้สมองกลับมาทำงานได้ดีขึ้น

จัดสภาพแวดล้อมก่อนนอนให้เหมาะกับการพักผ่อน

หากนอนไม่หลับบ่อย ควรเริ่มจากการปรับสภาพแวดล้อมในห้องนอนให้เอื้อต่อการพักผ่อน เช่น ปิดไฟให้มืด เปิดอุณหภูมิให้พอดี จัดห้องให้โล่งและเงียบเพื่อไม่ให้มีสิ่งรบกวน พร้อมหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์อย่างน้อย 30 นาทีก่อนนอน นอกจากนี้ การเปิดดนตรีเบา ๆ หรือใช้สเปรย์กลิ่นลาเวนเดอร์ยังช่วยผ่อนคลายและทำให้หลับได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

แหล่งที่มา : health.kapook.com

6 เกณฑ์สำคัญ ก่อนเลือกโรงงานผลิตอาหารเสริมที่ใช่

0

6 เกณฑ์สำคัญ ก่อนเลือกโรงงานผลิตอาหารเสริมที่ใช่

ไลฟ์สไตล์ยุคเร่งรีบทำให้หลายคนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง จึงหันมาพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกันมากขึ้น ทำให้ธุรกิจอาหารเสริมเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลนี้ส่งผลให้เจ้าของแบรนด์หน้าใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก แต่สิ่งแรกที่ต้องตัดสินใจก่อนเริ่มผลิตคือการเลือกโรงงานผลิตอาหารเสริมที่เชื่อถือได้ ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญของคุณภาพสินค้าและความปลอดภัยของผู้บริโภค มาดู 6 เกณฑ์ที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจผลิตจริง

มาตรฐานรับรองชัดเจน

โรงงานอาหารเสริมต้องมีใบรับรองที่เป็นสากล เช่น GMP, HACCP, ISO และ อย. เพราะเป็นหลักฐานที่ยืนยันถึงความปลอดภัย ระบบผลิตที่ได้มาตรฐาน และความน่าเชื่อถือ หากเลือกโรงงานที่ไม่มีมาตรฐาน ความเสี่ยงต่อคุณภาพสินค้าและแบรนด์จะสูงมาก

สภาพแวดล้อมและสถานที่ตั้ง

โรงงานควรสะอาดเป็นระเบียบ ไม่มีสิ่งปนเปื้อนหรือแหล่งเน่าเสียอยู่ใกล้ ๆ เพราะสภาพแวดล้อมมีผลโดยตรงต่อคุณภาพสินค้า นอกจากนี้ควรเลือกโรงงานที่เดินทางสะดวก เมื่อต้องเข้าไปตรวจงานหรือแก้ไขปัญหาฉุกเฉินจะได้จัดการได้ทันที

สามารถผลิตได้หลากหลายประเภท

เจ้าของแบรนด์ส่วนใหญ่มักไม่หยุดที่สินค้าตัวเดียว โรงงานที่ผลิตได้หลายประเภท เช่น อาหารเสริม, เครื่องสำอาง, สบู่, สกินแคร์ จะช่วยให้คุณขยายไลน์สินค้าได้ง่ายขึ้นในอนาคต ไม่ต้องเปลี่ยนโรงงานหลายเจ้าให้ยุ่งยาก

บริการครบวงจรและให้คำปรึกษาได้จริง

โรงงานผลิตอาหารเสริมที่ดีควรให้บริการแบบครบวงจร ไม่ใช่แค่ผลิตสินค้าเท่านั้น แต่ต้องให้คำปรึกษาเรื่องสูตร ช่วยคิดค้นสูตรเฉพาะของแบรนด์ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ และแนะนำการตลาดเบื้องต้น เพื่อให้เจ้าของแบรนด์ได้รับความช่วยเหลือครบทุกขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มวางแนวคิดจนถึงสินค้าพร้อมวางขาย ช่วยให้การเริ่มต้นธุรกิจเป็นเรื่องง่ายและราบรื่นยิ่งขึ้น

ระยะเวลาผลิตชัดเจนและตรงเวลา

การผลิตล่าช้าส่งผลต่อแผนการตลาดและยอดขายของคุณโดยตรง ควรเลือกโรงงานที่ให้ข้อมูล timeline ชัดเจน และมีประวัติการส่งงานตรงเวลา เพื่อให้คุณวางแผนการเปิดตัวสินค้าได้อย่างไม่สะดุด

ต้องเข้าไปดูโรงงานจริง

อย่าเชื่อแค่รีวิวหรือภาพในเว็บไซต์ การเข้าไปดูสถานที่จริงคือสิ่งสำคัญที่สุด ตรวจดูมาตรฐานความสะอาด กระบวนการผลิต เครื่องจักร รวมถึงทีมงานว่ามีความเป็นมืออาชีพหรือไม่ การเห็นด้วยตาตัวเองคือวิธีที่ดีที่สุดในการตัดสินใจ

อัปเดต 5 งานฟรีแลนซ์ที่มาแรงสุดปี 2026

0

อัปเดต 5 งานฟรีแลนซ์ที่มาแรงสุดปี 2026

งานฟรีแลนซ์กำลังเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับคนที่ต้องการอิสระและบริหารเวลาทำงานได้เอง และในปี 2026 ตลาดฟรีแลนซ์จะเติบโตอย่างชัดเจนจากการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการจ้างงาน เทคโนโลยีใหม่ ๆ และความต้องการทักษะเฉพาะทางที่สูงขึ้น ทำให้เป็นโอกาสทองของคนที่อยากเริ่มต้นสายงานนี้ โดย 5 งานฟรีแลนซ์ที่มาแรงสุดปี 2026 มีดังนี้

ทักษะเฉพาะทาง + การผสาน AI

ฟรีแลนซ์ที่มีทักษะเฉพาะทาง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนา AI หรือ Prompt Engineering จะยิ่งเป็นที่ต้องการมากขึ้น เพราะธุรกิจต้องการคนที่สามารถ “ผสาน AI กับงานจริง” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่ถูกแทนที่โดยเทคโนโลยี ทำให้ผู้ที่ใช้ AI เป็นจะโดดเด่นกว่าที่เคย

งานรีโมตเต็มรูปแบบ

การทำงานจากที่ไหนก็ได้กำลังกลายเป็นมาตรฐานของฟรีแลนซ์ ด้วยเทคโนโลยีคลาวด์และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอย่าง 5G ทำให้การรับงานจากต่างประเทศและบริหารโปรเจกต์ระยะไกลเป็นเรื่องง่ายขึ้น ส่งผลให้ฟรีแลนซ์ไทยมีโอกาสเข้าสู่ตลาดงานระดับโลกได้มากกว่าเดิม

แพลตฟอร์มจัดการงานครบวงจร

ฟรีแลนซ์ยุคใหม่จะหันมาใช้แพลตฟอร์มที่รวมทุกขั้นตอนของงานไว้ในที่เดียว ตั้งแต่การทำ Proposal ออกใบ Invoice ไปจนถึงการจัดการโปรเจกต์ เพื่อช่วยให้ทำงานได้เป็นระบบมากขึ้น ลดความยุ่งยากจากการใช้หลายเครื่องมือ และเพิ่มความเป็นมืออาชีพในการทำงาน

งานสร้างสรรค์ที่มนุษย์ยังได้เปรียบ

แม้ AI จะช่วยผลิตคอนเทนต์ได้รวดเร็วขึ้น แต่ธุรกิจยังต้องการผลงานที่มี “ความคิดสร้างสรรค์ ความรู้สึก และมนุษย์สัมผัส” อยู่เสมอ ฟรีแลนซ์สายเขียน ออกแบบ และทำวิดีโอที่สามารถใช้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ให้แทนที่ จึงจะโดดเด่นและมีโอกาสมากขึ้นในตลาดงานปี 2026

ตลาดฟรีแลนซ์เติบโต แต่การแข่งขันก็สูงขึ้น

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่ผู้ใช้แพลตฟอร์มฟรีแลนซ์เติบโตเร็ว โดยติดอันดับ 10 ประเทศที่ถูกจ้างงานมากที่สุดบน Freelancer.com แต่การเติบโตนี้ก็มาพร้อมการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเช่นกัน ฟรีแลนซ์ที่ต้องการโดดเด่นจำเป็นต้องมีพอร์ตงานที่แข็งแรง แสดงบุคลิกและทักษะเฉพาะทางอย่างชัดเจน รวมถึงให้บริการลูกค้าอย่างมืออาชีพ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดงานมากขึ้นในตลาดที่แข่งขันสูง

แหล่งที่มา : www.sanook.com

5 ทริคกินผลไม้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ลดเสี่ยงแบคทีเรีย

0

5 ทริคกินผลไม้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ลดเสี่ยงแบคทีเรีย

แม้ทุกคนจะคุ้นเคยกับการกินผลไม้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้วิธีกินอย่างถูกต้องเพื่อให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้สูงสุดและหลีกเลี่ยงแบคทีเรียที่อาจเป็นอันตราย ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เจี้ยน อวี้หัว (ไต้หวัน/จีน) ระบุว่าแม้เป็นผลไม้ชนิดเดียวกัน แต่วิธีกินสามารถกำหนดปริมาณสารอาหารที่ได้รับได้ หากกินไม่ถูกวิธีอาจเกิดผลข้างเคียงหรือเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียโดยไม่รู้ตัว จึงได้แนะนำ 5 เคล็ดลับง่าย ๆ เพื่อให้การกินผลไม้นั้นได้ประโยชน์สูงสุดและปลอดภัยกว่าเดิม

หั่นชิ้นเล็ก และกินทันทีหลังปอก/หั่น

ควรเลือกผลไม้สดและรับประทานทันทีหลังปอกหรือหั่น เพราะเมื่อผลไม้สัมผัสอากาศ (Oxidation) สารอาหารที่สลายตัวง่าย เช่น วิตามินซีและแคโรทีนอยด์ จะลดลงอย่างรวดเร็ว การหั่นผลไม้ให้เป็นชิ้นเล็กช่วยลดพื้นที่ผิวที่สัมผัสออกซิเจน ทำให้คงคุณค่าทางโภชนาการได้ดีกว่า และควรใช้อุปกรณ์ที่คมและสะอาดเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของแบคทีเรียด้วย

กินผลไม้ร่วมกับโปรตีนหรือไขมันดี

ผลไม้หลายชนิดมีน้ำตาลธรรมชาติสูง หากกินเดี่ยว ๆ อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นเร็ว ผู้เชี่ยวชาญ เจี้ยน อวี้หัว แนะนำให้กินผลไม้ร่วมกับแหล่งโปรตีนหรือไขมันดี เพื่อช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ทำให้ค่า GI ของมื้ออาหารต่ำลงและช่วยให้อิ่มนานขึ้น ตัวอย่างที่ดีคือการทานผลไม้คู่กับถั่วต่าง ๆ เมล็ดเจีย หรือโยเกิร์ต รวมถึงการกินร่วมกับน้ำมันดี เช่น น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันอย่าง A, D, E และ K ได้ดียิ่งขึ้น

เลือกกินผลไม้ตามฤดูกาล

การเลือกกินผลไม้ตามฤดูกาลช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ เพราะผลไม้ที่สุกตามธรรมชาติจะมีรสชาติอร่อย สดใหม่ และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด ขณะเดียวกันยังช่วยลดความเสี่ยงจากสารเคมีต่าง ๆ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงหรือเก็บในห้องเย็นเป็นเวลานาน ตรงกันข้ามผลไม้นอกฤดูกาลมักถูกเก็บเกี่ยวตั้งแต่ยังไม่สุก ใช้สารเคมีมากกว่า และต้องเก็บรักษานาน ทำให้รสชาติด้อยลงและเสี่ยงต่อการปนเปื้อนมากขึ้นด้วย

กินผลไม้ทั้งลูก แทนการคั้นน้ำ

การกินผลไม้ทั้งลูกเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการได้รับสารอาหารครบถ้วน แพทย์เจี้ยนอธิบายว่ากระบวนการเคี้ยวช่วยกระตุ้นการย่อยและการดูดซึม ทำให้ร่างกายใช้ประโยชน์จากสารอาหารได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังได้รับใยอาหารที่ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลและลดภาระของระบบย่อยอาหารและตับ ขณะที่การคั้นน้ำหรือทำสมูทตี้มักกำจัดใยอาหารออกไป ทำให้ของเหลวถูกดูดซึมเร็วเกินไป ส่งผลให้ระดับน้ำตาลและอินซูลินพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ได้ประโยชน์น้อยกว่าและอาจกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

กินผลไม้ก่อนมื้ออาหารหลัก 30–60 นาที

ช่วงเวลาที่กินผลไม้มีผลต่อการดูดซึมสารอาหารอย่างมาก หลายคนมักกินผลไม้เป็นของหวานหลังอาหาร แต่จริง ๆ แล้ว เวลาที่ดีที่สุดคือกินก่อนมื้อหลักประมาณ 30–60 นาที วิธีนี้ช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุได้เต็มที่ เพราะไม่ถูกรบกวนจากอาหารที่มีไขมันหรือโปรตีนสูง นอกจากนี้ใยอาหารในผลไม้จะช่วยเติมกระเพาะ ทำให้อิ่มเร็วขึ้น ช่วยควบคุมปริมาณอาหารและสนับสนุนการควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย

แหล่งที่มา : www.sanook.com

8 พฤติกรรมยอดฮิตที่ทำให้โน้ตบุ๊กพังเร็วกว่าที่คิด

0

8 พฤติกรรมยอดฮิตที่ทำให้โน้ตบุ๊กพังเร็วกว่าที่คิด

โน้ตบุ๊กคือผู้ช่วยสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา แต่รู้ไหมว่าพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำเป็นประจำ อาจกำลังทำร้ายเครื่องโดยไม่รู้ตัว หากอยากให้โน้ตบุ๊กอยู่กับคุณไปได้นาน ลองเช็กพฤติกรรมเหล่านี้แล้วปรับก่อนที่เครื่องจะพังเร็วเกินไป

ใช้งานโน้ตบุ๊กบนพื้นผิวอ่อนนุ่ม

การใช้งานโน้ตบุ๊กบนพื้นผิวอ่อนนุ่มอย่างที่นอน หมอน หรือโซฟา เป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะทำให้ช่องระบายอากาศใต้เครื่องถูกอุดตัน ส่งผลให้ความร้อนสะสมจนพัดลมต้องทำงานหนักเกินไป และทำให้ชิ้นส่วนสำคัญอย่าง CPU หรือ GPU เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ

ไม่เคยทำความสะอาดฝุ่น

ฝุ่นละอองที่สะสมในพัดลมระบายความร้อนและฮีทซิงก์ อาจกลายเป็นชั้นหนา ทำให้การระบายความร้อนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้เครื่องร้อนง่ายและอาจเกิดความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์ในระยะยาว

ปล่อยให้แบตหมดบ่อย ๆ

การปล่อยให้แบตเตอรี่คายประจุจนหมดบ่อยครั้ง  เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนเสื่อมสภาพเร็ว และอาจเสียหายถาวรได้ เพื่อยืดอายุการใช้งาน ควรชาร์จเมื่อแบตเหลือประมาณ 20–30% และหลีกเลี่ยงการปล่อยให้โน้ตบุ๊กดับเอง

เสียบสายชาร์จค้างไว้ตลาดเวลา โดยไม่ปรับโหมด

แม้โน้ตบุ๊กสมัยใหม่จะมีระบบจัดการพลังงานที่ดีขึ้น แต่การเสียบชาร์จค้างไว้ที่ 100% ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสภาวะที่เครื่องมีความร้อนสูง อาจเร่งให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้นได้ เพื่อถนอมอายุการใช้งาน ควรตั้งค่าการชาร์จสูงสุดไว้ที่ประมาณ 60–80% ผ่านซอฟต์แวร์จัดการแบตเตอรี่

ดึงปลั๊กหรืออุปกรณ์ต่อพวงรุนแรง และผิดวิธี

การดึงสาย USB, HDMI หรือสายชาร์จด้วยแรง หรือโยกซ้าย–ขวา อาจทำให้พอร์ตเชื่อมต่อภายในโน้ตบุ๊ก (Internal Port) และตัวสายเคเบิลเกิดความเสียหาย เช่น หลวม หลุด หรือวงจรภายในขาดได้

ปิดเครื่องโยการกดปุ่ม Power ค้าง (Force Shutdown)

การปิดเครื่องแบบกะทันหันขณะระบบยังทำงานอยู่ อาจทำให้ไฟล์ระบบเสียหาย (Corrupt Files) และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียหายของฮาร์ดดิสก์ (HDD) หรือแม้แต่ SSD ได้ หากเกิดขึ้นระหว่างการเขียนข้อมูล

ปิดโปรแกรมทำงานพร้อมกันเยอะเกินไป

การเปิดแท็บเบราว์เซอร์ โปรแกรม หรือเกมที่ใช้ทรัพยากรเครื่องมากพร้อมกันหลายรายการ จะทำให้ RAM และ CPU ทำงานหนักเกินขีดจำกัด ส่งผลให้เครื่องอืด ค้าง และเกิดความร้อนสะสมสูง

ไม่เคยอัปเดตระบบปฏิบัติการและไดรเวอร์

การละเลยการอัปเดตระบบปฏิบัติการอย่าง Windows หรือ macOS รวมถึงไดรเวอร์ต่าง ๆ อาจทำให้โน้ตบุ๊กมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย และพลาดการปรับปรุงสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและการจัดการพลังงานของฮาร์ดแวร์

แหล่งที่มา : www.sanook.com

Soft Skills ที่คนทำงานยุคใหม่ต้องมี

0

Soft Skills ที่คนทำงานยุคใหม่ต้องมี

ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว ความเก่งทางเทคนิคอย่างเดียวไม่พออีกต่อไป เพราะองค์กรสมัยใหม่มองหา Soft Skills หรือทักษะด้านอารมณ์และการทำงานร่วมกับผู้อื่นมากขึ้น ทักษะเหล่านี้สะท้อนถึงความสามารถในการสื่อสาร การปรับตัว และการทำงานเป็นทีม ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินว่า ฃคุณจะได้งานหรือไม่ และจะเติบโตในสายอาชีพได้ไกลแค่ไหน โดย Soft Skills ที่คนทำงานยุคใหม่ต้องมีมีดังนี้

การสื่อสาร

ทักษะการสื่อสารคือความสามารถในการพูด ฟัง เขียน และอธิบายความคิดอย่างชัดเจน เข้าใจง่าย และเหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญของทุกอาชีพ เพราะช่วยลดความเข้าใจผิด เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกัน และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในทีม ยิ่งคุณสื่อสารได้ดีเท่าไร โอกาสในการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

การทำงานเป็นทีม

หมายถึงการทำงานร่วมกันอย่างมีระบบ รู้หน้าที่ของตนเอง เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่ต่าง และพร้อมช่วยเหลือกัน ทีมที่ทำงานร่วมมือกันได้ดีจะทำให้งานสำเร็จเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การปรับตัว

ทักษะนี้คือความพร้อมในการเรียนรู้สิ่งใหม่ และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ตื่นตระหนก เป็นความสามารถสำคัญที่ช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ความคิดวิเคราะห์

คือความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบ ใช้เหตุผลในการประเมินข้อมูล และหาทางแก้ไขอย่างรอบคอบ ทักษะนี้ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

ภาวะผู้นำ

ทักษะนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้นำหรือหัวหน้า แต่คือความกล้าในการริเริ่ม รับผิดชอบ และชี้แนวทางที่ชัดเจนให้ทีม เพื่อให้ทุกคนก้าวไปสู่เป้าหมายร่วมกัน

การบริหารเวลา

คือความสามารถในการจัดลำดับความสำคัญของงานอย่างเหมาะสม ส่งมอบงานได้ตรงเวลาโดยไม่เร่งรีบ การบริหารเวลาที่ดีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและลดความเครียดได้อย่างมาก

ความฉลาดทางอารมณ์

ความสามารถในการเข้าใจและจัดการอารมณ์ของตนเอง รวมถึงเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม การมี EQ ที่ดีช่วยให้ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีสติ และสร้างความสัมพันธ์ที่ราบรื่นในที่ทำงาน

แหล่งที่มา : www.sanook.com

6 ขนมกินเล่นระหว่างอ่านหนังสือ อร่อยเพลินดีต่อสุขภาพ

0

6 ขนมกินเล่นระหว่างอ่านหนังสือ อร่อยเพลินดีต่อสุขภาพ

ใครที่กำลังอยู่ในช่วงอ่านหนังสือสอบหรือต้องโฟกัสกับงานแบบเต็มสปีด มาทางนี้เลยวันนี้เรามี 6 ขนมกินเล่นระหว่างอ่านหนังสือ ที่ทั้งอร่อย กินเพลิน แถมยังมีประโยชน์ ช่วยบำรุงสมองและเพิ่มพลังให้สมองโลดแล่นได้ยาวนานขึ้น เหมาะสุด ๆ สำหรับคนที่ต้องใช้พลังความคิดเยอะ แต่ไม่อยากพึ่งของหวานหรือขนมแคลสูง มาดูกันดีกว่าว่ามีของกินเล่นดีต่อสุขภาพ ตัวไหนที่ควรมีติดโต๊ะไว้ระหว่างอ่านหนังสือหรือทำงานบ้าง

ดาร์กช็อกโกแลต

สำหรับสายหวานที่อยากเติมพลังระหว่างอ่านหนังสือ ขอแนะนำดาร์กช็อกโกแลตที่มีความเข้มข้น 70% ขึ้นไป เพราะนอกจากจะอร่อยแล้วยังดีต่อสมองอีกด้วย ดาร์กช็อกโกแลตมีคาเฟอีนและฟลาโวนอยด์ที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปยังสมอง ทำให้โฟกัสดีขึ้น สมาธิแน่น และจดจำข้อมูลได้มีประสิทธิภาพขึ้น แต่มีข้อควรระวังคืออย่ากินเยอะเกินไป เพราะในช็อกโกแลตยังมีน้ำตาลอยู่ หากกินมากเกินอาจทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งและเกิดอาการง่วงซึมได้ กินพอดี ๆ แค่ 2–3 ชิ้นเล็ก ๆ ก็ช่วยให้สมองปลอดโปร่งและอารมณ์ดีได้แล้ว

อัลมอนด์ & ถั่วชนิดต่าง ๆ

ของกินเล่นอย่างอัลมอนด์และถั่วชนิดต่าง ๆ ถือเป็นพลังงานชั้นดีสำหรับคนที่ต้องใช้สมองเยอะ ไม่ว่าจะเป็นอัลมอนด์ วอลนัท แมคคาเดเมีย ถั่วลิสง หรือถั่วแดง ล้วนอุดมด้วยโปรตีน ไขมันดี และใยอาหาร ที่ช่วยเพิ่มพลังระหว่างอ่านหนังสือหรือทำงานได้ยาวนานโดยไม่รู้สึกอ่อนเพลีย ที่สำคัญยังมีโอเมก้า-3 และธาตุเหล็ก ซึ่งช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท ทำให้โฟกัสดีขึ้น ความจำแม่นขึ้น เหมาะสุด ๆ สำหรับช่วงสอบหรือทำโปรเจกต์ใหญ่ แต่ควรกินในปริมาณพอดีประมาณวันละหนึ่งกำมือ เพื่อหลีกเลี่ยงพลังงานส่วนเกิน

แอปเปิล

แอปเปิลเป็นตัวช่วยเติมความสดชื่นที่เหมาะสุด ๆ สำหรับช่วงอ่านหนังสือ เพราะมีรสหวานอมเปรี้ยวช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า แถมยังอุดมไปด้วย สารอะเซทิลโคลีน (Acetylcholine) ที่ช่วยเสริมการทำงานของสมองและระบบประสาท ทำให้มีสมาธิและจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมี ไฟเบอร์สูงและน้ำตาลธรรมชาติ ที่ช่วยเพิ่มพลังได้โดยไม่ทำให้รู้สึกหนักท้อง จะกินสด ๆ เป็นแอปเปิลหั่นชิ้น หรือทานคู่กับเนยถั่วสักเล็กน้อยก็อร่อยและอิ่มกำลังดี

โยเกิร์ต

โยเกิร์ต คือของกินเล่นสุดเพอร์เฟกต์สำหรับช่วงอ่านหนังสือหรือทำงานหนัก เพราะนอกจากจะอร่อยและย่อยง่ายแล้ว ยังอุดมไปด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตดี ที่ช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้สึกเพลียง่าย แถมยังมีโพรไบโอติก (Probiotics) ที่ช่วยเสริมสมดุลลำไส้ กระตุ้นระบบประสาทและสมองให้ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้โฟกัสและมีสมาธินานขึ้น ที่สำคัญโยเกิร์ตยังช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกายโดยไม่หนักท้อง จะกินเดี่ยว ๆ หรือใส่ผลไม้สดอย่างบลูเบอร์รี กล้วย หรือกราโนล่าก็อร่อยและสุขภาพดีสุด ๆ

ขนมปังโฮลวีต & พีนัทบัตเตอร์

เมนูขนมปังโฮลวีตกับพีนัทบัตเตอร์ คือของกินเล่นที่ให้ทั้งพลังงานและประโยชน์ครบในคำเดียว ขนมปังโฮลวีตเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ย่อยช้า ช่วยให้ร่างกายมีพลังงานต่อเนื่อง ลดอาการง่วงซึมระหว่างอ่านหนังสือ ส่วนพีนัทบัตเตอร์ก็อุดมด้วยโปรตีน ไขมันดี และวิตามินบี ที่ช่วยบำรุงสมอง ระบบประสาท และเพิ่มสมาธิได้อย่างดีเยี่ยม กินคู่กันแล้วทั้งอิ่มอยู่ท้อง ไม่หนักเกินไป แถมยังช่วยให้ร่างกายและสมองตื่นตัว พร้อมลุยงานหรืออ่านหนังสือต่อได้แบบยาว ๆ

นม

ปิดท้ายด้วย นมจืด เครื่องดื่มคู่ใจของสายอ่านหนังสือและทำงานหนัก เพราะอุดมไปด้วยโปรตีนและกรดอะมิโน ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและระบบประสาทให้ตื่นตัว นอกจากนี้ยังมีโอเมก้า 3, วิตามินบี และแคลเซียม ที่ช่วยบำรุงความจำ เสริมสมาธิ และถนอมสายตาจากการใช้คอมพิวเตอร์หรืออ่านหนังสือนาน ๆ ดื่มแล้วช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับสบาย เหมาะสุด ๆ สำหรับช่วงติวหนักหรือทำงานดึก

แหล่งที่มา : www.zipeventapp.com

7 เมนูพลังงานเบา ๆ ก่อนออกวิ่ง

0

7 เมนูพลังงานเบา ๆ ก่อนออกวิ่ง

หนึ่งในปัญหาที่นักวิ่งหลายคนมักเจอคือหมดแรงกลางทาง หรือท้องไส้ปั่นป่วนระหว่างวิ่ง ซึ่งมักเกิดจากการกินอาหารไม่เหมาะก่อนออกกำลังกาย การเลือกอาหารที่ถูกต้องจะช่วยให้มีพลังเพียงพอตลอดการวิ่ง แถมยังช่วยลดโอกาสเกิดอาการแน่นท้องหรือจุกเสียดได้อีกด้วย วันนี้เรารวบรวม 7 เมนูกินก่อนวิ่งที่ทั้งย่อยง่าย ไขมันต่ำ และช่วยให้คุณพร้อมลุยทุกเส้นทาง

กล้วย

กล้วยคือ “ของดีประจำวงการนักวิ่ง” ตัวจริง เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ทันที เหมาะมากสำหรับกินก่อนออกวิ่งประมาณ 30–60 นาที กล้วยยังอุดมไปด้วย โพแทสเซียม ที่ช่วยป้องกันอาการตะคริวได้เป็นอย่างดี

ข้าวโอ๊ต

ข้าวโอ๊ต เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex Carbohydrate) ที่ให้พลังงานอย่างต่อเนื่อง จึงช่วยให้ร่างกายรู้สึกมีแรงได้นานขึ้นโดยไม่หมดพลังกลางทาง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการวิ่งระยะไกลหรือวิ่งตอนเช้า โดยควรกินก่อน 2-3 ชั่วโมงก่อนวิ่ง

ขนมปังโฮลวีท

ขนมปังโฮลวีทเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานเร็วแต่ย่อยง่าย เหมาะสำหรับกินก่อนวิ่งเพราะไม่ทำให้รู้สึกหนักท้อง สามารถกินคู่กับท็อปปิ้งเบา ๆ อย่างเนยถั่ว กล้วยฝานบาง ๆ หรือไข่ต้ม เพื่อเพิ่มโปรตีนและไขมันดี ซึ่งควรกิน 1-2 ชั่วโมงก่อนวิ่ง

ข้าวสวย

ข้าวสวยถือเป็นพลังงานหลักที่เหมาะกับนักวิ่งชาวไทยที่สุด เพราะเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถย่อยและเปลี่ยนเป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังย่อยง่าย ไม่ทำให้แน่นท้อง เหมาะจะกินก่อนวิ่งประมาณ 2-3 ชั่วโมง หากอยากเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ

มันเทศ

มันเทศเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน อุดมด้วยวิตามินเอและโพแทสเซียม ช่วยรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย ช่วยป้องกันอาการตะคริวขณะออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำให้กินมันเทศต้ม หรืออบในปริมาณพอเหมาะก่อนวิ่งประมาณ 2-3 ชั่วโมง

กรีกโยเกิร์ต

กรีกโยเกิร์ตถือเป็นของว่างก่อนวิ่งที่ครบเครื่อง เพราะมีโปรตีนสูงกว่าโยเกิร์ตทั่วไป ช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง อีกทั้งยังมีโพรไบโอติกส์ ที่ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี แนะนำให้กินกรีกโยเกิร์ตรสธรรมชาติคู่กับผลไม้หรือธัญพืชเล็กน้อยก่อนวิ่งประมาณ 1-2 ชั่วโมง

ขนมปังกรอบ

ขนมปังกรอบแบบไม่มีรสชาติถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคนที่รู้สึกตื่นเต้นก่อนวิ่งจนกินอาหารไม่ได้ หรือไม่มีเวลาเตรียมมื้อก่อนออกกำลังกาย เพราะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ให้พลังงานรวดเร็ว และไม่ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักจนเกิดอาการจุกเสียดหรือท้องปั่นป่วน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการกินรองท้องก่อนออกวิ่งประมาณ 30–60 นาที

แหล่งที่มา : women.trueid.net

10 สิ่งที่ห้ามพลาดหลังออกกำลังกาย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม

0

10 สิ่งที่ห้ามพลาดหลังออกกำลังกาย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม

การออกกำลังกายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลไหนทั้งอยากสุขภาพแข็งแรง หุ่นเฟิร์ม ลดน้ำหนัก หรือเพิ่มความมั่นใจ ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งนั้น ปัจจุบันก็มีวิธีให้เลือกมากมาย ทั้งเวทเทรนนิ่ง คาร์ดิโอ พิลาทิส หรือกีฬาต่าง ๆ แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้ตัวการออกกำลังกายก็คือ “การดูแลหลังออกกำลังกาย” เพราะถ้าทำไม่ถูกวิธี แทนที่จะได้ผลดี อาจกลายเป็นผลเสียต่อร่างกายได้ง่าย ๆ วันนี้เลยขอพาทุกคนไปเช็ก 10 สิ่งที่ควรทำหลังออกกำลังกาย เพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกาย เสริมสุขภาพ และทำให้การออกกำลังกายของคุณได้ผลเต็มที่จริง ๆ

Cool Down หลังออกกำลังกาย

หลังออกกำลังกายไม่ควรหยุดทันที แต่ควรค่อย ๆ Cool down ด้วยการลดระดับการเคลื่อนไหวให้เบาลงประมาณ 5–10 นาที เช่น เดินช้า ๆ หรือยืดเหยียดเบา ๆ เพื่อให้หัวใจและการไหลเวียนเลือดกลับสู่ปกติ ลดอาการเวียนหัว หน้ามืด และช่วยป้องกันกล้ามเนื้อตึงหรือบาดเจ็บ ทั้งยังทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ

หลังออกกำลังกายสิ่งที่ห้ามลืมคือ การดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อชดเชยของเหลวที่สูญเสียไปกับเหงื่อและช่วยให้ระบบร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยทั่วไปการออกกำลังกายเบา–ปานกลาง แค่ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าออกกำลังกายหนัก เหงื่อออกมาก ควรเสริมด้วยเครื่องดื่มเกลือแร่เพื่อทดแทนโซเดียมและอิเล็กโทรไลต์ที่หายไป จะช่วยลดอาการอ่อนเพลีย เวียนหัว และทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นเร็วกว่าเดิม การจิบน้ำทีละน้อยต่อเนื่องยังดีกว่าการดื่มรวดเดียว เพราะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

ยืด เหยียด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

หลังออกกำลังกาย การยืดเหยียดร่างกาย (Stretching) ถือว่าสำคัญพอ ๆ กับการวอร์มอัพเลย เพราะช่วยป้องกันอาการกล้ามเนื้อตึง เจ็บ ปวด หรือแข็งเกร็งเกินไป การยืดกล้ามเนื้อยังช่วยให้ร่างกายมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เคลื่อนไหวได้คล่องตัว ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บ และยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่ล้าให้กลับมามีพลังได้เร็วขึ้น ควรเน้นยืดเฉพาะส่วนที่ใช้งานหนัก เช่น ขา หลัง และแขน

หลีกเลี่ยงการนั่ง หรืออยู่เฉย ๆ ทันที

หลังจากออกกำลังกายเสร็จ แม้จะอยากนั่งพักทันที แต่การนั่งนิ่ง ๆ เลยอาจทำให้เลือดคั่งที่ขา ได้ ทางที่ดีควรผ่อนแรงลงด้วยการ เดินเบา ๆ หรือขยับร่างกายช้า ๆ สัก 5–10 นาที เพื่อให้หัวใจและระบบไหลเวียนเลือดค่อย ๆ กลับสู่ภาวะปกติ การทำแบบนี้ไม่เพียงช่วยลดอาการเวียนหัว หน้ามืด แต่ยังช่วยให้กล้ามเนื้อคายความตึง ลดโอกาสเกิดการบาดเจ็บ และทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นด้วย

อาบน้ำ สระผม ล้างแบคทีเรียออกไป

หลังออกกำลังกายควรรีบอาบน้ำหรืออย่างน้อยเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่อทันที เพราะเหงื่อและความอับชื้นเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค หากปล่อยไว้อาจเสี่ยงติดเชื้อรา กลากเกลื้อน หรือผื่นผิวหนังได้ การอาบน้ำจะช่วยล้างคราบเหงื่อ สิ่งสกปรก ลดการระคายเคือง พร้อมคืนความสดชื่นและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ แต่ถ้าไม่มีเวลาอาบน้ำจริง ๆ ควรถอดเสื้อผ้าเปียกออก เช็ดตัวให้สะอาด แล้วใส่ชุดใหม่ที่แห้งสะอาดแทนจนกว่าจะอาบน้ำ

เสริมสร้างกล้ามเนื้อด้วยโปรตีน

หลังออกกำลังกายสิ่งสำคัญคือการ เติมโปรตีนคุณภาพดีภายใน 30–60 นาที ซึ่งเป็นช่วงที่กล้ามเนื้อฟื้นฟูและดูดซึมสารอาหารได้ดีที่สุด การกินโปรตีนทันทีหลังออกกำลังไม่เพียงช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ แต่ยังช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันแทนที่จะสลายมวลกล้ามเนื้อ ตัวเลือกที่เหมาะได้แก่ อกไก่ ไข่ต้ม ปลาแซลมอน ถั่ว ธัญพืช นม โยเกิร์ต หรือโปรตีนเชคที่สะดวกและรวดเร็ว

กินคาร์โบไฮเดรต

หลังออกกำลังกายอย่ามองข้ามคาร์โบไฮเดรตและอาหารจำพวกนม เพราะไม่ใช่แค่โปรตีนเท่านั้นที่ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ แต่คาร์โบไฮเดรตคือแหล่งพลังงานหลักที่ร่างกายใช้ระหว่างออกกำลัง หากได้รับไม่พอ กล้ามเนื้ออาจถูกดึงมาเผาผลาญแทนจนทำให้ร่างกายอ่อนล้าและกล้ามเนื้อเสียได้ การกินแป้งที่เหมาะสม เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต มันหวาน หรือพาสต้า จะช่วยฟื้นฟูพลังงาน เติมความสดชื่น และซ่อมแซมกล้ามเนื้อให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ

พักผ่อนให้เพียงพอ

หลังออกกำลังกาย ร่างกายของเราจะเกิดความล้าและมีการสึกหรอของกล้ามเนื้อเล็ก ๆ การพักผ่อนจึงเป็นตัวช่วยซ่อมแซมที่ดีที่สุด การนอนหลับเพียงพอ 7–9 ชั่วโมงต่อคืนจะช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ปรับสมดุลฮอร์โมน เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นด้วย หากนอนดึกหรือนอนไม่พอ ต่อให้คุณออกกำลังกายอย่างเต็มที่ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะไม่สมบูรณ์และอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลียสะสมได้ง่าย

สังเกตอาการผิดปกติ

หลังออกกำลังกายสิ่งสำคัญอีกข้อที่ไม่ควรมองข้ามเลยคือ การฟังสัญญาณของร่างกายตัวเอง หากคุณมีอาการผิดปกติเช่น เจ็บแสบตามกล้ามเนื้อ ข้อต่อ หรือมีอาการเวียนหัว หน้ามืด แน่นหน้าอก ควรหยุดพักทันทีและรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะแต่ละคนมีสภาพร่างกายไม่เหมือนกัน บางคนอาจเพิ่งเริ่มออกกำลังกาย หรือฝืนทำหนักเกินไป จนทำให้ร่างกายบาดเจ็บได้ การใส่ใจอาการผิดปกติเล็กน้อยตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้พัฒนาเป็นปัญหาสุขภาพรุนแรงในภายหลังได้

บันทึกความก้าวหน้า

การจดบันทึกการออกกำลังกายถือเป็นอีกหนึ่ง เคล็ดลับสำคัญที่หลายคนมองข้าม เพราะมันช่วยให้คุณเห็นพัฒนาการของตัวเองอย่างเป็นรูปธรรม เช่น เวลา ระยะทาง น้ำหนักที่ยก หรือแม้แต่ความรู้สึกหลังออกกำลังกายในแต่ละครั้ง เมื่อเก็บข้อมูลไว้ต่อเนื่อง คุณจะสามารถประเมินได้ว่าร่างกายแข็งแรงขึ้นแค่ไหน และยังช่วยปรับเป้าหมายหรือโปรแกรมการฝึกในอนาคตให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

แหล่งที่มา : sistacafe.com

7 พฤติกรรมในออฟฟิศที่บ่งบอกว่า EQ ต่ำ

0

7 พฤติกรรมในออฟฟิศที่บ่งบอกว่า EQ ต่ำ

ในที่ทำงาน การเข้าใจนิสัยและอารมณ์ของแต่ละคนไม่เพียงช่วยให้เรารับมือกับคนอื่นได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้เรามองย้อนกลับมาพัฒนาตัวเองด้วย หนึ่งในทักษะสำคัญที่ทำให้คนประสบความสำเร็จคือ EQ (ความฉลาดทางอารมณ์) เพราะคนที่มี EQ สูงมักควบคุมอารมณ์ได้ดี เข้าใจความรู้สึกผู้อื่น และสร้างบรรยากาศการทำงานที่เป็นบวก ตรงกันข้ามหากขาด EQ ก็อาจแสดงพฤติกรรมที่ทำลายความสัมพันธ์และประสิทธิภาพทีมได้ง่าย ๆ ซึ่งต่อไปนี้คือ 7 พฤติกรรมที่สะท้อน EQ ต่ำ ที่คนมี EQ สูงจะหลีกเลี่ยงอย่างแน่นอน

ขาดทักษะความเห็นอกเห็นใจและไม่รู้จักฟัง

คนที่มี EQ ต่ำมักโฟกัสแต่ตัวเอง ไม่ใส่ใจความรู้สึกผู้อื่น และมักแสดงอารมณ์เชิงลบใส่เพื่อนร่วมงาน ทำให้บรรยากาศในที่ทำงานตึงเครียด อีกทั้งยังไม่ค่อยมีความอดทนในการฟัง ชอบขัดจังหวะหรือปฏิเสธความคิดเห็นคนอื่นทันที ซึ่งเป็นข้อบกพร่องสำคัญต่อการทำงานร่วมกัน เพราะทีมที่ดีต้องอาศัยทั้งการเคารพและการรับฟังซึ่งกันและกัน

ขาดความมั่นใจและขี้เกรงใจในงาน

คนที่มี EQ ต่ำมักไม่เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง พอเจองานท้าทายก็มักเครียด กังวล และปฏิเสธโอกาสใหม่ ๆ เพราะกลัวล้มเหลว ส่งผลให้ไม่ก้าวหน้าเท่าคนอื่น ๆ ระยะยาวยังทำให้เพื่อนร่วมงานไม่กล้ามอบหมายงานสำคัญให้ กลายเป็นถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว

กลัวแสดงความเห็น ขาดความมั่นคงในจุดยืน

คนที่มี EQ ต่ำมักเงียบในการประชุม ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเพราะกลัวถูกคัดค้าน หรือไม่ถนัดการสื่อสาร ผลคือขาดจุดยืนในทีม พลาดโอกาสแสดงความสามารถ และในระยะยาวอาจถูกมองว่า “ไม่มีตัวตน” ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือและไม่โดดเด่นในงาน

ขาดวินัยและแรงจูงใจภายใน

คน EQ ต่ำมักทำงานไม่เป็นระบบ ขาดความรับผิดชอบ เช่น มาสาย ส่งงานช้า หรือเลื่อนงานบ่อย ๆ อีกทั้งยังไม่ค่อยมีแรงจูงใจในการพัฒนาตัวเอง ไม่แสวงหาความรู้หรือโอกาสใหม่ ๆ จนสุดท้ายถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ขณะที่เพื่อนร่วมงานก้าวหน้าไปไกลกว่า

ขาดความร่วมมือและการสร้างสัมพันธ์

คน EQ ต่ำมักคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่เต็มใจแบ่งปันข้อมูล และไม่ยินดีทำงานร่วมกับผู้อื่น ส่งผลให้การทำงานเป็นทีมสะดุดและความสัมพันธ์ในทีมแย่ลง พวกเขามักกลายเป็น “จุดอ่อน” ของโครงการ ขณะที่คน EQ สูงจะรู้จักประสานงาน ช่วยเหลือ และทำงานร่วมกับทีมเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน

ขาดความซื่อสัตย์และไม่น่าเชื่อถือ

ความซื่อสัตย์คือหัวใจของการทำงาน แต่คน EQ ต่ำมักชอบโอ้อวดผลงาน ปกปิดข้อผิดพลาด หรือแม้กระทั่งแย่งเครดิตและโยนความผิดให้คนอื่น พฤติกรรมเหล่านี้ทำลายความไว้วางใจในทีม และเมื่อถูกมองว่า “ไม่น่าเชื่อถือ” ก็ยากที่จะกู้ภาพลักษณ์กลับมาได้

ขาดความเคารพและไม่ให้อภัย

คน EQ ต่ำมักมีอัตตาสูง รับฟังคำติชมไม่เป็น และตอบสนองรุนแรงเมื่อถูกวิจารณ์ พวกเขามักถกเถียงเพื่อ “เอาชนะ” โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น ส่งผลให้บรรยากาศการทำงานตึงเครียด และเพื่อนร่วมงานค่อย ๆ ถอยห่างออกไป จนสุดท้ายกลายเป็นคนนอกในทีม

แหล่งที่มา : www.sanook.com